โรงแรมยุค AI เปลี่ยน data ให้กลายเป็นกำไรเพิ่มได้อย่างไร
การบริหารรายได้ของโรงแรมในยุคปัจจุบันไม่ได้อาศัยเพียงประสบการณ์หรือสัญชาตญาณของผู้จัดการอีกต่อไป แต่ยืนอยู่บน “ข้อมูล (data)” ที่หลากหลายทั้งจากระบบภายในและภายนอก ความท้าทายคือการตีความข้อมูลจำนวนมหาศาลให้ทันต่อความผันผวนของตลาด และแปลงข้อมูลเหล่านั้นให้เป็นการตัดสินใจที่รวดเร็ว แม่นยำ และตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงรายวัน
บทสนทนาจากเสวนา Powering your revenue management with data driven decisions จัดขึ้นในงาน NoVacancy เมื่อ 18 พ.ย. 2025 สะท้อนภาพรวมความคิดของผู้บริหารโรงแรมที่กำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนของยุคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแบบใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและ AI
1. ข้อมูลตลาด คือ อาวุธลับของฝ่าย Revenue ยุคใหม่
โรงแรมยุคปัจจุบันไม่ได้ดูเพียงฐานข้อมูลจาก PMS (Performance Management System) หรือ RMS (Revenue Management System) ของตัวเองเท่านั้น แต่ต้องอ่านเกมจาก “ข้อมูลตลาดภายนอก” อย่างเที่ยวบิน กลุ่มดีมานด์เฉพาะกิจ ช่วงเวลาพีค และความเคลื่อนไหวของคู่แข่ง ตัวอย่างเช่น การรู้ว่ามีเที่ยวบินจากอินเดียมาถึงกรุงเทพฯ ตอนเช้า ทำให้โรงแรมสามารถเสนอ Early Check-in แบบคิดค่าบริการ และสร้างรายได้เพิ่มได้ทันที
การใช้ข้อมูลตลาดแบบนี้คือกุญแจสำคัญในการขึ้นราคาเฉพาะห้องที่มีดีมานด์สูง หรือการคาดการณ์ดีมานด์ในอนาคต ซึ่งทำให้โรงแรมไม่พลาด “ช่วงเวลาทอง” ของรายได้ แต่ในอีกด้านหนึ่ง ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงขาดข้อมูลที่ละเอียดเท่าตลาดสหรัฐ ส่งผลให้ผู้บริหารโรงแรมจำเป็นต้องตีความข้อมูลหลายแหล่งรวมกันเพื่อให้เกิดภาพรวมที่ใช้งานได้จริง
2. การพัฒนาเครื่องมือ Automate เมื่อเวลาเป็นต้นทุน
ระบบอัตโนมัติ Automate และ AI ถูกนำมาใช้ในการทำงานประจำวัน ตั้งแต่การสรุปรายงานแบบอัตโนมัติ การดึงข้อมูลยอดขาย สถานะห้อง หรือการคาดการณ์รายสัปดาห์ ไปจนถึงการตั้งระบบ Dynamic Pricing ที่สามารถอัปเดตราคาได้เองทุกไม่กี่ชั่วโมง ช่วยลดงานที่ต้องใช้แรงมนุษย์อย่างมาก
อย่างไรก็ตาม แม้เทคโนโลยีจะก้าวหน้า แต่ในหลายโรงแรมยังไม่กล้าให้อำนาจ AI ตั้งราคาทั้งหมด 100% เพราะความกลัวความผิดพลาด ความแปรปรวนของตลาด และวัฒนธรรมองค์กรที่ยังต้องการ “มนุษย์เป็นคนตัดสินใจครั้งสุดท้ายเสมอ” ความท้าทายจึงอยู่ที่การสร้างความเข้าใจใหม่ว่า AI คือเครื่องมือ ไม่ใช่คู่แข่ง และถ้าใช้อย่างถูกต้อง จะเป็นกำลังเสริมที่ทรงพลังที่สุดของฝ่าย Revenue
3. มนุษย์ยังคงสำคัญ เพราะข้อมูลต้องถูกแปลให้ทุกคนเข้าใจได้
แม้ข้อมูลจะมีค่ามาก แต่ไร้ความหมายหากทีมงานไม่เข้าใจ จึงเกิดบทบาทใหม่อย่าง “Performance Analyst” ผู้ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างข้อมูลเชิงลึกกับการปฏิบัติงานจริงของแต่ละแผนก ไม่ว่าจะเป็นการแปลข้อมูลดีมานด์เป็นคำแนะนำให้ฝ่าย F&B เตรียมพนักงาน หรือการถอดข้อมูลมูลค่าตลาดออกมาเป็นแผนการขายประจำสัปดาห์
จนถึงตอนนี้ “ความสามารถในการเล่าเรื่องด้วยข้อมูล” คือทักษะที่มีค่าที่สุดในวงการโรงแรม เพราะเป็นตัวแปรที่ทำให้ข้อมูลเกิดผลลัพธ์จริง ไม่ใช่แค่ตัวเลขบนรายงาน
4. วัฒนธรรมองค์กรเป็นตัวแปรที่ขับเคลื่อนหรือขัดขวางอนาคตของรายได้
การใช้ระบบอัตโนมัติและ AI ยังต้องฝ่ากำแพงความเชื่อเดิมของทีมงาน เช่น ผู้บริหารที่คุ้นชินกับการกำหนดราคาตามประสบการณ์ หรือทีมที่ยังไม่เชื่อมั่นการตัดสินใจของระบบ ทำให้การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบช้าลง
องค์กรที่ประสบความสำเร็จในด้านรายได้ จะเป็นองค์กรที่ “ลด silo ทางข้อมูล” และ “ทำงานข้ามแผนกแบบ KPI เดียวกัน” เช่น การให้ทีมการตลาด ทีมขาย และทีม Revenue มีเป้าหมายร่วมกัน ทำให้ข้อมูลถูกใช้เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจทั้งองค์กร ไม่ใช่เฉพาะแต่ละแผนก
5. อนาคตที่กำลังมาของ AI, Content และการ search รูปแบบใหม่
เทรนด์ที่ผู้บริหารโรงแรมเห็นตรงกันคือยุค SEO ที่เป็นการค้นหาแบบใช้ Search Engine แบบเดิม ๆ นั้นเริ่มเปลี่ยนไป เพราะผู้บริโภคเริ่มใช้ ChatGPT, voice search และแพลตฟอร์ม AI อื่น ๆ เพื่อค้นหาโรงแรมแทน Google แบบดั้งเดิม เพราะฉะนั้นเนื้อหา (Content) ของโรงแรมจึงต้องถูกสร้างใหม่ให้ “AI อ่านรู้เรื่อง” ให้สอดคล้องกับ GEO (Generative Engine Optimization) ไม่ใช่แค่ “มนุษย์อ่านรู้เรื่อง” เท่านั้น
นี่คือเกมใหม่ที่กำลังเริ่มต้น และโรงแรมที่ปรับตัวก่อน จะเป็นฝ่ายได้เปรียบในสนามดิจิทัลรอบต่อไป
บทสรุป
เสวนาครั้งนี้สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าการบริหารรายได้ในยุคถัดไปจะเป็นการผสานระหว่าง “ข้อมูลที่แข็งแรง” “เทคโนโลยีที่แม่นยำ” และ “ทีมงานที่เข้าใจข้อมูลจริง ๆ” โรงแรมที่สามารถทำให้ทั้งสามอย่างนี้ทำงานร่วมกันได้ จะกลายเป็นผู้เล่นที่พร้อมที่สุดสำหรับตลาดการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
