Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
สารพันความรู้
•
ติดตาม
20 พ.ย. เวลา 01:00 • ไลฟ์สไตล์
การหายตัวของคณะสำรวจแฟรงคลิน (Franklin Expedition) – ปริศนา 170 ปีแห่งอาร์กติก
บทนำ: ปริศนาแห่งอาร์กติกที่มนุษย์เฝ้าถามมายาวนานที่สุด
ท่ามกลางน้ำแข็งลอยตัวสูงตระหง่านในมหาสมุทรอาร์กติก มีเรื่องราวหนึ่งฝังอยู่ในความทรงจำของมวลมนุษย์กว่า 170 ปี—เรื่องราวของคณะสำรวจอังกฤษที่ออกเดินทางเพื่อพิชิต “เส้นทางตะวันตกเฉียงเหนือ” (Northwest Passage) แต่ไม่เคยหวนคืน
การหายไปของกองเรือ HMS Erebus และ HMS Terror ที่นำโดย เซอร์จอห์น แฟรงคลิน (Sir John Franklin) ในปี ค.ศ. 1845 กลายเป็นหนึ่งในปริศนาที่โลกค้นหาคำตอบยาวนานที่สุด เปรียบเสมือน “เรือผีแห่งอาร์กติก” ที่ไม่มีใครรู้ชะตากรรมแน่ชัด—จนกระทั่งศตวรรษที่ 21 จึงเริ่มคลี่คลาย
เพราะเหตุใดหนึ่งในกองทัพเรือที่ทันสมัยที่สุดของจักรวรรดิอังกฤษจึงหายสาบสูญ,
เกิดโศกนาฏกรรมใดขึ้น,
และ เหตุใดความลับนี้จึงถูกปิดผนึกด้วยน้ำแข็งนานกว่าศตวรรษครึ่ง
บทที่ 1: ความฝันของจักรวรรดิอังกฤษในการค้นหาเส้นทาง Northwest Passage
1.1 ความหมายของเส้นทางตะวันตกเฉียงเหนือ
ในศตวรรษที่ 16–19 มหาอำนาจยุโรปต่างใฝ่ฝันหาเส้นทางลัดจากมหาสมุทรแอตแลนติกไปยังแปซิฟิก โดยไม่ต้องอ้อมแหลมกู๊ดโฮปหรืออเมริกาใต้
Northwest Passage คือคำตอบ—หากทะลุได้สำเร็จ การค้าและการเดินเรือของอังกฤษจะครอบงำโลก
1.2 อังกฤษเคยพยายามมาก่อน—แต่ล้มเหลว
ก่อนแฟรงคลินหลายร้อยปี อังกฤษส่งนักสำรวจเกือบ 40 คณะ เช่น
มาร์ติน ฟรอบิชเชอร์
จอห์น เดวิส
วิลเลียม แบฟฟิน
แต่ทุกคนล้มเหลวเพราะ
❄ อุณหภูมิต่ำกว่า -40°C
❄ พายุหิมะ
❄ น้ำแข็งลอยตัวดันเรือแตก
❄ ขาดแคลนอาหาร
แม้รู้ว่าเสี่ยง แต่ปี 1845 อังกฤษตัดสินใจส่ง “ภารกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เรือสำรวจ” นั่นคือ คณะสำรวจแฟรงคลิน
บทที่ 2: เซอร์จอห์น แฟรงคลิน—ชายที่ถูกเรียกว่า “คนอ้วนผู้มุ่งหน้าไปสู่ขั้วโลก”
2.1 เบื้องหลังของแฟรงคลิน
แฟรงคลินมีชื่อเสียงในอังกฤษในฐานะ
นายทหารเรือผู้มีประสบการณ์
นักสำรวจที่เคยรอดชีวิตจากความอดอยากในอาร์กติก
ข้าหลวงใหญ่ของแทสมาเนีย
แต่ก็มีชื่อเสียงว่า “อายุเยอะและอ้วนเกินไป” จนเพื่อนร่วมรุ่นแซวว่าเขาเหมาะกับโต๊ะเขียนเอกสารมากกว่าเรือสำรวจ
อย่างไรก็ตาม อังกฤษเลือกเขาเพราะ
✔ ประสบการณ์ในอาร์กติก
✔ ความเป็นผู้นำ
✔ ต้องการวีรบุรุษชูหน้าชูตาจักรวรรดิ
2.2 แฟรงคลินรับคำท้า
ในวัย 59 ปี แฟรงคลินตัดสินใจรับคำสั่งสำรวจครั้งสุดท้าย
เขาตั้งเป้าจะเป็น “คนอังกฤษผู้พิชิต Northwest Passage” และฝากชื่อไว้ในประวัติศาสตร์
เขารวบรวมลูกเรือ 129 นาย—ผู้เชี่ยวชาญระดับสูงของราชนาวี—แล้วออกเดินทางด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม
บทที่ 3: กองเรือแห่งความหวัง—HMS Erebus และ HMS Terror
3.1 เรือที่ทันสมัยที่สุดในสมัยนั้น
เรือทั้งสองถูกออกแบบให้แข็งแกร่งเพื่อฝ่าน้ำแข็ง
โครงไม้โอ๊กเสริมเหล็ก
หม้อไอน้ำใช้เครื่องจักรไอน้ำจากทางรถไฟ
ใบมีดเหล็กเสริมกราบเรือ
สโตร์อาหารล้ำยุค “อาหารกระป๋อง” (เทคโนโลยีใหม่)
3.2 อาหารกระป๋อง—ความหวังกลายเป็นคำสาป
อังกฤษสั่งกระป๋องกว่า 8,000 กระป๋อง จากบริษัทที่ผลิตในเวลาจำกัด ทำให้ตะเข็บบัดกรีด้วย ตะกั่ว คุณภาพต่ำ
นั่นหมายความว่า
การหาอาหารรูปแบบใหม่…อาจกลายเป็น พิษนำตะกั่ว ทำให้หลอน อ่อนแรง และเสียชีวิตได้
หลักฐานนี้จะกลายเป็นปมสำคัญในการอธิบายชะตากรรมของคณะสำรวจ
บทที่ 4: วันสุดท้ายก่อนเรือหาย – ฤดูร้อนปี 1845
คณะสำรวจออกเดินทางจากกรีนแลนด์ วันที่ 28 กรกฎาคม 1845
และพบเห็นครั้งสุดท้ายบริเวณปากอ่าวแบฟฟินโดยเรือล่าวาฬชาวยุโรป
หลังจากนั้น…
ไม่มีใครพบพวกเขาอีกเลย
กองทัพเรืออังกฤษเริ่มกังวล แต่รัฐบาลยังเชื่อว่า
“เรือจะกลับทันทีที่ค้นพบเส้นทางลัด”
แต่หนึ่งปีผ่านไป…ไม่มีข่าว
สองปีผ่านไป…ล้านคำถามเริ่มก่อตัว
สามปีผ่านไป…อังกฤษประกาศว่าคณะสำรวจ “สูญหาย”
บทที่ 5: การค้นหาครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
ระหว่างปี 1848–1880 อังกฤษส่งคณะค้นหากว่า 30 คณะ ใช้งบประมาณมหาศาล—มากกว่าค่าใช้จ่ายของโครงการสำรวจใดในศตวรรษที่ 19
การค้นหานี้ทำให้ค้นพบน่านน้ำและเกาะต่าง ๆ มากมาย จนถึงขั้นเรียกภารกิจเหล่านี้ว่า
“ผลพลอยได้ของโศกนาฏกรรม”
แต่ยังไม่พบคำตอบว่า แฟรงคลิน—และลูกเรืออีก 128 นาย—หายไปที่ไหนกันแน่
บทที่ 6: เบาะแสแรกในอาร์กติก—คนอินูอิตเล่าเรื่องเรือผี
นักสำรวจอย่าง จอห์น เร (John Rae) พบข้อมูลสำคัญในปี 1854
ชายอินูอิตเล่าว่า
มีชายยุโรปผอมโซเดินลากเรือเล็ก
หลายคนล้มตายบนทุ่งน้ำแข็ง
บางศพมีรอย “ผ่ากระดูกเอาไขกระดูกออก”
อังกฤษไม่เชื่อ—เพราะข้อมูลนั้นบอกเป็นนัยถึง “การกินศพเพื่อเอาชีวิตรอด”
และนั่นเป็นสิ่งที่ยุควิกตอเรียนรับไม่ได้
กระทั่งอีก 140 ปีต่อมา ศพที่พบยืนยันแล้วว่า
เรื่องเล่าของอินูอิตเป็นจริง
บทที่ 7: ปี 1859 – พบข้อความสุดท้ายของแฟรงคลิน
บนเกาะ King William พบกระบอกโลหะบรรจุข้อความสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์คณะสำรวจ
ข้อความแบ่งเป็น 2 ช่วงเวลา
(1) ปี 1847 — ทุกอย่างยังดี
“Expedition was all well”
แปลว่า ทุกอย่างเรียบร้อยดี
แฟรงคลินยังมีชีวิตอยู่
(2) ปี 1848 — โศกนาฏกรรมเริ่มขึ้น
ข้อความนี้ถูกเขียนเพิ่ม
ระบุว่า
เรือ Erebus และ Terror ถูกน้ำแข็งขังนานถึง 2 ปี
ลูกเรือเสียชีวิต 24 คน
แฟรงคลินเสียชีวิตวันที่ 11 มิถุนายน 1847
ลูกเรือที่เหลือ 105 คนตัดสินใจ “ทิ้งเรือ” เดินเท้าไปยัง Back River
สู่ความตายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
บทที่ 8: คำอธิบายด้านสรีรวิทยา—เพราะอะไรลูกเรือถึงตาย
หลักฐานทางกายวิภาคจากศพ 3 นายที่ฝังในเกาะ Beechey Island ชี้ว่า…
1) การเป็นพิษจากตะกั่ว (Lead Poisoning)
พบระดับตะกั่วสูงอย่างผิดปกติ
ทำให้
ซึม
สับสน
ประสาทหลอน
อ่อนแรงจนเดินไม่ได้
2) โรคเลือดไหลไม่หยุดจากภาวะขาดวิตามินซี (Scurvy)
ทำให้แผลไม่ปิด ฟันหลุด เลือดออกในไต
3) ขาดอาหารและอุณหภูมิต่ำกว่า -40°C
4) ภาวะขาดแรงจูงใจจากสภาพจิตใจ (Arctic Madness)
ความมืด 24 ชั่วโมงทำให้โรคซึมเศร้ารุนแรงขึ้น
การรวมกันของ 4 ปัจจัยทำให้ผลลัพธ์หลีกเลี่ยงไม่ได้—
คณะสำรวจจะทยอยตายทีละคน แม้ยังไม่เจอกับพายุใหญ่
บทที่ 9: อัปลักษณ์แห่งโศกนาฏกรรม—หลักฐานการกินศพ
ในปี 1980–1990 นักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยอัลเบอร์ตาค้นพบกระดูกมนุษย์มากกว่า 400 ชิ้นบนเกาะ King William
และพบรอย
ตัดด้วยใบมีด
ผ่ากระดูกเพื่อเอาไข
รอยแตกแรงสูงคล้ายทำลายโดยมนุษย์
ทั้งหมดเข้ากันกับวัฒนธรรมการเอาชีวิตรอดภายใต้ภาวะอดตายขั้นสุด
นี่ไม่ใช่ “ความป่าเถื่อน” แต่เป็น
สัญชาตญาณสุดท้ายของมนุษย์ที่พยายามกลับบ้าน
บทที่ 10: ยุควิทยาศาสตร์—เริ่มปะติดปะต่อปริศนา
ในศตวรรษที่ 20
การศึกษาชิ้นสำคัญของดร. โอเวน บีตตี (Owen Beattie) และทีมนักโบราณคดีทำให้โลกทราบว่า…
กระป๋องถูกผนึกด้วยตะกั่วจริง
ลักษณะตะกั่วในร่างกายบ่งชี้ว่าได้รับจากอาหาร
กระดูกชี้ถึงภาวะอดตายรุนแรง
ลูกเรือ 3 คนแรกตายตั้งแต่ปีแรก
ผลลัพธ์คือตัวต่อสำคัญสำหรับไขปริศนา แต่ปริศนาหนึ่งยังไม่ถูกคลี่คลาย…
เรือทั้งสองลำหายไปไหน?
บทที่ 11: ปาฏิหาริย์ในศตวรรษที่ 21—พบเรือทั้งสองลำแล้ว
ปี 2014 — พบ HMS Erebus
โดยทีมนักโบราณคดีของ Parks Canada
เรืออยู่ในสภาพสมบูรณ์ระดับ “เหลือเชื่อ”
โต๊ะ
จานชาม
ห้องเครื่อง
เข็มทิศ
ยังคงอยู่สภาพดี เพราะสภาพน้ำเย็นจัดและขาดออกซิเจน
ปี 2016 — พบ HMS Terror
เรืออยู่ในสภาพเกือบสมบูรณ์ที่สุดในโลกของเรือศตวรรษที่ 19
จนถูกเรียกว่า
“เรือผีหลับใหลในน้ำแข็ง”
การค้นพบนี้ทำให้ปริศนา 170 ปีเริ่มได้รับคำตอบเชิงวิทยาศาสตร์
บทที่ 12: สิ่งที่เชื่อว่าเกิดขึ้นจริงตามหลักฐานปัจจุบัน
คณะสำรวจถูกน้ำแข็งขัง 2 ปี
อาหารกระป๋องปนเปื้อนตะกั่ว ทำให้ลูกเรือค่อย ๆ อ่อนแรง
โรคเลือดออกตามไรฟันทำให้ตายเพิ่ม
แฟรงคลินเสียชีวิตกลางภารกิจ
ลูกเรือที่เหลือทิ้งเรือและพยายามเดินกลับ—แต่ทุกคนตาย
ก่อนตาย ลูกเรือบางคน “กินศพเพื่อน” เพื่อเอาชีวิตรอด
เรือถูกปล่อยให้จมตามธรรมชาติหลังถูกน้ำแข็งบดขยี้
บทที่ 13: คำถามที่ยังไม่มีคำตอบ
แม้จะผ่าน 170 ปี ยังมีอีกหลายสิ่งที่ยังไม่รู้ เช่น
ใครเป็นคนสั่งทิ้งเรือ?
ลูกเรือแต่ละคนตายที่ไหน?
เรือถูกน้ำแข็งบีบอย่างไรจนล่ม?
มีใครรอดไปถึงพื้นที่อินูอิตมากกว่าที่คิดหรือไม่?
บางคำตอบอาจยังอยู่ใต้พื้นน้ำแข็งลึก 50 เมตร
กำลังรอการสำรวจในอนาคต
บทที่ 14: บทสรุป—โศกนาฏกรรมที่กลายเป็นตำนานของมนุษยชาติ
คณะสำรวจแฟรงคลินคือบทเรียนอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์ในการฝ่าธรรมชาติที่เกินกำลัง
มันคือเรื่องราวที่มีทั้ง
ความหวัง
ความกล้าหาญ
ความผิดพลาดทางเทคโนโลยี
ความดื้อรั้นของจักรวรรดิ
ความลึกลับของน้ำแข็ง
การดิ้นรนสุดท้ายของมนุษย์
กว่า 170 ปี ปริศนานี้ค่อย ๆ ถูกคลี่คลายทีละชิ้น
แต่เสน่ห์ของมันยังอยู่—
เพราะมันคือเรื่องราวของมนุษย์ที่เผชิญธรรมชาติและความตายอย่างกล้าหาญ
และเมื่อเรามองกลับไปยังเรือ HMS Erebus และ HMS Terror ที่หลับใหลใต้ทะเลอาร์กติก
เราจะเห็นไม่ใช่ความล้มเหลว…
แต่เป็นการเตือนว่ามนุษย์ต้องเคารพขีดจำกัดของโลก
ความรู้รอบตัว
ชีวิต
เรื่องเล่า
บันทึก
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย