19 พ.ย. เวลา 05:37 • ไลฟ์สไตล์

เล่าเรื่องของ "ลุงขาว"

----------------
รถคันนี้ เป็นรถ TOYOTA CORONA รุ่นปี พ.ศ. 2535 (รุ่นแป๊ะยิ้ม) ผมใช้คันนี้คันเดียวมา 33 ปี ยกเครื่องใหม่เป็นเกียร์ออโต้ ตรวจสภาพและเสียภาษีประจำปีทุกปี  เมื่อใดที่เครื่องเริ่มรวน ก็เข้าอู่ให้ช่างประจำดูแล
   ผมขับคันนี้แทบทุกวันทั้งในกรุงเทพฯ-นนทบุรี และยังขับไปต่างจังหวัดอยู่บ้างเหมือนกัน  เขาเป็นเพื่อนที่แสนดีของครอบครัวเรา ลูกๆหลานๆตั้งชื่อให้เขาว่า "#ลุงขาว"
    เวลาไปงานเลี้ยงสังสรรค์หรืองานสำคัญใดๆ ก็ขับคันนี้ไปจอดคู่กับรถหรูๆของเพื่อนๆและคนอื่นๆ  ใหม่ๆก็รู้สึกเหนียมๆเหมือนกันที่รถเราเป็นจุดเด่นไม่เหมือนรถคนอื่น  เพื่อนที่สนิทกันบางคนเคยถามว่า " ทำไมไม่ออกรถใหม่" เราก็ได้แต่ยิ้มๆ พอบ่อยครั้งเข้าก็เริ่มชิน กิเลสทำอะไรเราไม่ได้แล้ว ไม่รู้สึกว่าเป็นปมด้อย กลับภูมิใจที่จิตใจเรามั่นคง คำนึงถึงประโยชน์ใช้สอยมากกว่าความหรูจากเปลีอกนอก เราพอใจและเชื่อแบบนี้เราก็ทำของเราต่อไป โดยมิได้อิจฉาหรือตำหนิผู้อื่นแต่อย่างใด เขาก็มีเหตุผลของเขา
     เคยคิดเหมือนกันว่าทำไมคนหลายๆคนจึงนิยมรถโบราณยอดนิยมบางรุ่นที่มีราคาสูงกว่ารถใหม่เสียอีก เขาตัดสิน ตีค่า ตีราคาจากสิ่งใดกันแน่ น่าจะเป็นเรื่องความนิยมของสังคม และอารมณ์ความรู้สึกของคนมากกว่าประโยชน์ใช้สอยหรือไม่  จะมีสักวันมั๊ยที่รถโบราณรุ่นของเราจะกลายเป็นรถยอดนิยมกับเขาบ้างหนอ
    ในยามที่เศรษฐกิจฝืดเคือง ผู้คนเริ่มโหยหาคำว่า "พอเพียง"กันมากขึ้น แต่การดำรงชีวิตจริงๆของผู้คนมีความ "พอเพียง" กันแค่ไหน?
     ผมเคยถูกสอนมาแต่เด็กว่า "กินข้าวทุกเม็ดให้หมดจาน สงสารชาวนา"
"ถ้ามีน้อยใช้น้อยค่อยบรรจง อย่าจ่ายลงให้มากจะยากนาน" "อดอยากเยี่ยงอย่างเสือสงานศักดิ์ โซก็เสาะใส่ท้องจับเนื้อกินเอง" ฯลฯ
      นั่นคือ ถ้าไม่มีก็ต้องยอมอด(เหมือนเสีอ) ไม่ก่อหนี้สิน หยิ่งในศักดิ์ศรีของตนที่จะไม่รบกวนหรือเบียดเบียนผู้อื่น และต้องขยันขันแข็งทำมาหากินในทางสุจริต หลีกเลี่ยงจากอบายมุขทั้งปวง ควบคุมจิตใจไม่ให้กิเลสพาไปในทางที่เสื่อมเสียหรือตกต่ำ  นอกจากไม่ใช้จ่ายเกินตัวแล้ว ยังต้องเก็บออมบางส่วนไว้ใช้ในยามจำเป็น โดยไม่ประมาท เช่น การเจ็บป่วย ภัยพิบัติต่างๆที่อาจเกิดขึ้นด้วย
      ถ้าเราทำได้เช่นนี้ตั้งแต่วัยทำงาน ชีวิตก็น่าจะมั่นคงและมีความสุขยั่งยืนนาน
โฆษณา