เมื่อวาน เวลา 11:42 • ปรัชญา
ลองอ่านดูเนื้อหา และดูมุมมองของผม
.
ถ้าครอบครัวของคนไข้รายนี้ได้เจอผม ผมจะใช้หลักการดูแลคนไข้ระยะท้ายโดยเอาธรรมชาติของคนไข้เป็นศูนย์กลาง ตามที่ผมใช้กับคนไข้ทุกคน เข้าช่วยเหลือ
.
นี่คือเรื่องราวสุดสะเทือนใจของประเทศญี่ปุ่น
เมื่อหญิงวัย 71 ปีที่ถูกตั้งข้อหาฆาตกรรม
.
ผู้ต้องหา โยโกะ โคมิเนะ (อายุ 71 ปี)
ถูกตั้งข้อหาว่าเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2024 ได้ใช้เชือกพลาสติก (สายรัดจากถุงพลาสติก) รัดคอแม่วัย 102 ปีของตนจนเสียชีวิต ภายในบ้านพักในเมืองคุนิตาจิ กรุงโตเกียว
.
เธออาศัยอยู่กับแม่เพียงสองคน และแม่ป่วยเป็นโรคสมองเสื่อม (อัลไซเมอร์)
.
ล่าสุด โคมิเนะ ได้ขึ้นศาลในวันเปิดการพิจารณาคดีครั้งแรก (初公判)
.
ซึ่งในศาลได้เปิดเผยถึง “ช่วงเวลาที่เธอรู้สึกสิ้นหวังอย่างที่สุด” ในระหว่างการสอบถามจำเลยในศาล
.
โคมิเนะอธิบายถึงเหตุจูงใจของเหตุการณ์ว่า
"ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ลำพังในโลกนี้ นึกไม่ออกเลยว่าจะให้ใครมาช่วยได้ ฉันคิดว่าต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองเท่านั้น"
.
ฝ่ายอัยการระบุว่า เนื่องจากแม่ของเธอไม่สามารถขับถ่ายในห้องน้ำพกพาได้อีกต่อไป โคมิเนะจึงปรึกษากับผู้จัดการเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม ว่าต้องการให้แม่เข้าอยู่ในสถานดูแลผู้สูงอายุ สองวันต่อมา สถานในเมืองทาจิคาวะถูกแนะนำให้ และเธอตัดสินใจทันที
.
ฝ่ายสถานดูแลเข้าใจว่าผู้ต้องหาเหนื่อยล้าจากการดูแลผู้ป่วย จึงได้จัดเตรียมห้องไว้ล่วงหน้าในวันก่อนเกิดเหตุ และน้องสาวก็ทราบว่าจะให้แม่ย้ายเข้าในวันที่ 24 กรกฎาคม
.
แต่เช้ามืดของวันถัดมา เวลาประมาณตี 4 แม่ของเธอซึ่งยังคงร้องขอให้พาไปเข้าห้องน้ำบ่อยครั้ง ได้พลัดตกจากเตียง โคมิเนะจึงโทรแจ้ง สายด่วน 110 ขอให้เจ้าหน้าที่มาช่วย “พาแม่กลับขึ้นเตียง”
.
แต่ตำรวจบอกให้เธอโทรแจ้ง สายด่วน 119 (กู้ชีพ) แทน
.
หลังจากหน่วยกู้ภัยมาถึงและช่วยเหลือ พวกเขากล่าวกับเธอว่า
.
‘ถ้ามีเหตุแบบนี้อีก คราวหน้าอย่าโทร 119 อีกนะ’
.
ตนรู้สึกช็อกมาก อย่างไรก็ตาม หลังจากเจ้าหน้าที่กลับไปแล้ว แม่ของเธอก็ยังคงพูดซ้ำ ๆ ว่า “อยากไปห้องน้ำ”
.
"ช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวัง"
ประมาณสองชั่วโมงหลังจากนั้น โคมิเนะได้ลงมือก่อเหตุ จากนั้นเธอเป็นผู้โทรแจ้ง 110 ด้วยตนเอง
.
และเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึง เธอกล่าวว่า “รู้สึกเหมือนมีตะกั่วกดทับอยู่ในอก หนักอึ้งจนสิ้นหวัง คิดว่าไม่ไหวแล้ว… จึงรัดคอแม่ แล้วใช้มีดในครัวแทงที่ลำคอ”
.
เมื่อถูกถามถึงความรู้สึกในปัจจุบัน
โคมิเนะตอบว่า “ฉันอยากให้แม่จากไปตามธรรมชาติ จากโรคหรือความชรา ไม่ใช่แบบนี้… ฉันรู้สึกเสียใจจริง ๆ ค่ะ”
.
#ฆาตกรรม #ญี่ปุ่น #แม่ #ลูก #ไบรท์ทีวี #BrightTV
🖤🖤🖤
1.ถ้าครอบครัวนี้ได้พบทีมดูแลแบบประคับประคอง ทั้งผู้ดูแลและผู้ถูกดูแลจะมีการวางแผนการจากลา ว่าต้องการแบบไหนต้องทำแบบใด
.
2.สิ่งที่ทั้งคู่ต้องการ ต้องอยู่บนพื้นฐานของความจริงความเป็นไปได้ที่ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดหลักศาสนา ไม่ผิดหลักจริยธรรม เช่นเดียวกันกับการตายที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ถ้าใหธรรมชาติ มันทำงานไป
.
3. กระบวนการตายที่จะเข้ามาแล้วทำให้ผู้ถูกดูแลไม่ทรมานคือ
.
3.1 การไม่ปลุก ให้ผู้ถูกดูแลตื่นเอง ตามธรรมชาติถ้าผู้ถูกดูแลไม่ตื่นก็ต้องยอมรับการจากลาด้วยการหลับไป
.
3.2 การไม่บังคับให้กินอาหารหรือน้ำ ถ้าผู้ถูกดูแลไม่ต้องการไม่ได้เรียกร้องไม่ได้ร้องขอหรือไม่หิวจะไม่มีการเชิญชวนเชียร์บังคับหรือใส่สายยางเพื่อให้คนไข้ได้รับน้ำหรืออาหารตามที่ผู้ดูแลต้องการ
.
ผู้ที่ถูกดูแลถ้าไม่ได้ต้องการอาหารหรือน้ำเค้าจะไม่มีความทุกข์เค้าจะไม่มีความหิวเค้าจะไม่มีความอยากและเค้าจะไม่มีความทรมาน
.
การที่เขาไม่ได้อาหารหรือน้ำจะทำให้ร่างกายค่อยค่อยทดถอยปิดการทำงานไปทีละระบบช้าๆคนไข้จะไม่ทุกข์ทรมานจากกระบวนการนี้แล้วท้ายที่สุดคนไข้ก็จะจากไปด้วยการหลับไป
.
3.3 อาการจากลาอื่นที่เราจะพบได้เช่นเพ้อ เบลอ สับสนซึม ชัก อาการเหล่านี้สามารถพบได้เสมอ
.
ถ้าอาการเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะอาการปวดหรือเหนื่อย เราจึงให้การบำบัด แต่ถ้าเกิดจากความเสื่อม โดยไม่มีความเหนื่อยหรือปวด ผู้ดูแลไม่ต้องทำอะไรเพียงแค่ยอมรับความจริงเท่านั้นเอง
.
ที่สำคัญการชักไม่ทรมาน แต่ทำให้ผู้ดูแลทรมานกับภาพที่เห็น
.
ถ้าผู้ดูแลทนเห็นอาการเหล่านี้ไม่ได้พาเข้าแทรกแซงโรงพยาบาล กระบวนการแทรกแซงธรรมชาติและยื้อชีวิตจะเกิดขึ้นทันทีถ้าทีมรักษาพยาบาลไม่มีความรู้เรื่องการดูแลระยะท้าย
.
4.จากเนื้อหา คนไข้อัลไซเมอร์ ถ้าไม่ร้องขออาหาร แล้วลูกหลานไม่แทรกแซง ไม่บังคับ ไม่ฝืนธรรมชาติ คนเหล่านี้ก็จะจากไปแบบธรรมชาติด้วยระยะเวลาที่เหมาะสม ด้วยคุณภาพชีวิตที่เหมาะแก่การจากไป และด้วยคุณภาพชีวิตที่ไม่ดีแล้ว แต่เท่าที่อ่านดูไม่มีการกล่าวไว้
.
5.ในเจนเนอร์เรชั่นเดียวกันกับบทความ สังคมไทยยังเป็นสังคมครอบครัวอุปถัมภ์ พึ่งพิงกันได้ ความเชื่อด้านศาสนาที่ห้ามฆ่า ห้ามผิดศีล แบบไทยๆ และด้วยวัฒนธรรมที่ยังให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือมากกว่าต้องถามเหตุผล การเกื้อกูลจึงเกิดได้ทุกที่แม้ว่าหน่วยงานรัฐจะมีก็ตาม ปัญหาแบบนี้จึงไม่มี
.
6.ถ้าครอบครัวนี้ได้พบทีมดูแลแบบประคับประคองและได้วางแผนระยะท้าย และเคารพการจากลาแบบธรรมชาติ เหตุการแบบนี้จะไม่เกิดขึ้น
.
7.ปกติทีมดูแลแบบประคับประคองจะมีช่องทางให้คำแนะนำและให้คำปรึกษากับครอบครัวและผู้ดูแลได้ทันทีตลอดเวลา ผู้ดูแลจึงมีภาวะบีบเค้นและตึงเครียดน้อยกว่า
.
ผมหวังว่าผู้อ่านจะได้ศึกษาและเตรียมตัววางแผนระยะท้าย กับสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นกับเราทุกคนอย่างแน่นอน
.
ติดตามอ่าน หรืออ่านบทความของผมก่อนหน้านี้ได้ในเฟสบุ้คของเพจหมอแดงที่ปรึกษาคนไข้ระยะท้าย หรือสั่งหนังสือ ”สุขสุดท้ายที่ปลายทาง“ ที่จะพิมพ์ในครั้งต่อไปโดยผมจะมีเอกสารแสดงเจตจำนงในระยะท้ายให้กรอกไว้พกติดตัวด้วย
*******
นพ.พรศักดิ์ ผลเจริญสมบูรณ์
ที่ปรึกษาทีมดูแลผู้ป่วยระยะท้าย
โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
กรมแพทย์ทหารเรือ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี
สามารถปรึกษาหมอแดงได้ดังนี้
1.ส่งรายละเอียดเข้ามาในกล่องข้อความของเพจหมอแดงที่ปรึกษาคนไข้ระยะท้าย​เพื่อกรอกแบบฟอร์ม จนท.จะต่อสายให้สนทนากับคุณหมอ หรือโทรติดต่อแอดมินเพจ​ 082-424-5363
2. มาพบหมอแดง​ที่คลินิกชีวีอภิบาล​โดยนัดหมายล่วงหน้าที่​ 061 563 2989 หรือ038 933 900 ต่อคลินิกชีวีอภิบาล เพื่อทำนัดพบกับหมอแดง
3.ติดต่อผ่านเยือนเย็นหรือในคนไข้ที่ใช้บริการของเยือนเย็นสามารถขอให้หมอแดงเข้าเยี่ยมพบได้
FB : หมอแดง ที่ปรึกษาคนไข้ระยะท้าย
1
โฆษณา