1 ชั่วโมงที่แล้ว • หุ้น & เศรษฐกิจ

ยอดผลิตรถยนต์ไทยนิ่ง กำลังซื้อรถกระบะดิ่งต่อเนื่อง ลุ้นปี 69 รัฐปลุกเศรษฐกิจดันตลาดฟื้น

  • ยอดขายรถกระบะในประเทศลดลงอย่างต่อเนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจและสถาบันการเงินที่เข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ
  • คาดการณ์ว่ายอดผลิตรถยนต์โดยรวมในปี 2569 จะยังคงทรงตัวอยู่ที่ประมาณ 1.45 ล้านคัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับปีปัจจุบัน
  • ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์คาดหวังว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ในปี 2569 จะสามารถฟื้นฟูกำลังซื้อและทำให้ตลาดกลับมาเติบโตได้
แม้บรรยากาศการจับจ่ายจะคึกคักขึ้นจากมาตรการ “คนละครึ่งพลัส” ที่ช่วยพยุงค่าครองชีพ แต่ก็เป็นเพียงแรงกระตุ้นระยะสั้น ขณะที่สัญญาณหลายด้านยังสะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยอาจซึมยาว
โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ยอดขายรถกระบะหรือรถปิกอัพ ยานพาหนะสำคัญของผู้ประกอบการรายย่อยและฐานรากยังลดลงต่อเนื่อง
“ฐานเศรษฐกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ผู้คลุกคลีในวงการมาตั้งแต่ยุคเฟื่องฟูจนถึงช่วงเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้า วิเคราะห์ทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์และมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อที่คาดหวังจากรัฐบาลในปี 2569 ซึ่งกำลังจะมาถึงเร็ว ๆ นี้
คาดไทยผลิตรถปีหน้า 1.45 ล้านคัน
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า จากตัวเลขยอดผลิต ยอดขาย และยอดส่งออกรถยนต์ของไทย 9 เดือนแรกปีนี้คงยากที่จะให้มองภาพรวมของอุตสาหกรรมรถยนต์ในปี 2569 ทันทีในเวลานี้ เพราะยังต้องรอฟังนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลว่าจะสามารถสร้างแรงผลักดันให้ประชาชนเกิดกำลังซื้อได้มากน้อยแค่ไหนก่อนที่รัฐบาลจะยุบสภา เพื่อเลือกตั้งทั่วประเทศ ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เกิดขึ้น ปริมาณเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้นก็ตาม แต่บรรยากาศของการใช้เงินยังอยู่ในโหมดระมัดระวัง
แต่ทั้งนี้ขอคาดการณ์ล่วงหน้าว่าเศรษฐกิจไทยและต่างประเทศจะเป็นเช่นปัจจุบัน ซึ่งจะส่งผลให้ยอดผลิตรถยนต์ไทยทั้งปีนี้อยู่ที่ 1,450,000 คัน แบ่งเป็นผลิตเพื่อส่งออก 950,000 คัน ผลิตเพื่อขายในประเทศ 500,000 คัน ชึ่งเป็นตัวเลขเท่ากับปีนี้
ยอดผลิตรถยนต์ไฟฟ้าพุ่ง 30%
ที่น่าจับตาปี 2569 รถยนต์ไฟฟ้าจะมีส่วนแบ่งตลาดมากขึ้นเล็กน้อยจากการให้เงินอุดหนุนโครงการ EV 3.0 คันละ 1 แสนบาทสิ้นสุดลง แต่มีโครงการ EV 3.5 ที่ยังมีเงินอุดหนุนให้ผู้ซื้อโดยสูงสุดไม่เกินคันละ 1 แสนบาทตามความจุของแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตชดเชยรถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศปี 2567-2568 จึงคาดว่ายอดผลิตรถยนต์ไฟฟ้าปี 2569 น่าจะผลิตได้ 130,000 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 30 จากปีนี้ที่คาดว่าจะผลิตได้ 100,000 คัน
ส่วนรถยนต์ไฟฟ้าที่เป็น BEV PHEV มีส่วนแบ่งในด้านการผลิต 8% แต่ถ้ารวม HEV อีก14% ก็จะเป็น 22% ด้านการขายในประเทศมีส่วนแบ่งตลาด 22% และ 23% ตามลำดับรวมเป็น 45% ด้านการส่งออกมีส่วนแบ่งตลาด 1% และ 7% ตามลำดับ รวมเป็น 8% ปีหน้าส่งออก BEV PHEV น่าจะได้ 3% ของยอดส่งออก 950,000 คันหรือ 28,000 คัน ซึ่งต้องติดตามดูว่า บริษัทแม่ค่ายรถยนต์จะจัดสรรให้ประเทศไทยส่งออกเท่าไร
สถานะฐานผลิตไม่ใช่ยุคเฟื่องฟู
นายสุรพงษ์ยอมรับว่า การผลิตรถยนต์หลังเกิดโรคระบาดโควิด-19 ลดลงมากจากที่เคยผลิตปีละ2 ล้านคัน โดยผลิตเพื่อส่งออกราว 1 ล้านคัน และผลิตขายในประเทศ 1 ล้านคันของยอดผลิตทั้งหมด ปัจจุบันผลิตไม่ถึง 2 ล้านคัน โดยเฉพาะผลิตเพื่อขายในประเทศที่เหลือแค่ 5 แสนคัน โดยเฉพาะยอดผลิตรถกระบะที่ลดลงมากจากเคยขายในประเทศเดือนละ 30,000 คัน เหลือขายได้เดือนละ 10,000 คัน มีปัจจัยหลักจากสถาบันการเงินเข้มงวดไม่อนุมัติให้กู้เงินซื้อรถกระบะมาเป็นเวลาเกือบ 3 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี 2566 จนถึงปัจจุบัน
ทั้งนี้เนื่องจากเศรษฐกิจของไทยเติบโตในอัตราต่ำ ภาคการผลิตอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวจากต่างชาติรวมทั้งการลงทุนจากต่างชาติและในประเทศชะลอตัวลงมาก ทำให้แรงงานในภาคส่วนนี้มีรายได้ลดลง อำนาจซื้อของประชาชนทั่วประเทศลดลง เป็นเศรษฐกิจขาลงจนสถาบันการเงินต้องชะลอการปล่อยสินเชื่อให้ผู้ซื้อรถกระบะซึ่งเป็นรถยนต์ที่ใช้ชิ้นส่วนผลิตในประเทศถึง 90%
ผลกระทบตามมา แรงงานในบริษัทผลิตชิ้นส่วนรถกระบะถูกลดเวลาทำงาน ส่งผลมีรายได้ลดลง แต่ยังโชคดีที่มีการลงทุนผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไทย ซึ่งปีนี้ต้องผลิตชดเชยรถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้ามาขายในปี 2565-2566 จึงทำให้การผลิตรถยนต์ในส่วนนี้ในช่วง 3 เดือนนี้ดีขึ้น และมีส่วนแบ่งเป็น 35% ของยอดผลิตทั้งหมด ประเทศไทยจึงเป็นฐานการผลิตรถยนต์ใช้น้ำมันและเป็นฐานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าซึ่งมีส่วนแบ่งถึง 20% ของยอดผลิตทั้งหมด
เบอร์หนึ่งการผลิตอาเซียน แต่ยอดขายตามหลัง
เมื่อถามว่าสถานะผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ในอาเซียนของไทยลดระดับลงหรือไม่ นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ประเทศไทยยังคงเป็นที่หนึ่งในด้านการผลิตรถยนต์ของกลุ่มอาเซียน เพราะผลิตเพื่อส่งออกของประเทศไทยสูงมากกว่า 1 ล้านคันเกือบเท่ายอดผลิตรถยนต์ของอินโดนีเชียซึ่งผลิตมากเป็นอันดับสองในอาเซียน
ปีนี้ยอดผลิตรถยนต์ของไทยช่วง 8 เดือนแรกได้ 949,140 คันเท่ากับ 40% ของยอดผลิตทั้งหมดของอาเซียนที่ 2,397,816 คัน อินโดนีเซียเป็นอันดับสองผลิตได้ 757,220 คัน ส่วนแบ่งตลาด 32% มาเลเซียอันดับสามผลิตได้ 491,431 คันส่วนแบ่งตลาด 20% และเวียดนามอันดับสี่ แซงฟิลิปปินส์มาหลายปีแล้วโดยผลิตได้ 110,916 คัน ส่วนแบ่งตลาด 5%
ด้านการขายรถยนต์ของกลุ่มอาเซียน 8 เดือนแรกปีนี้ มีทั้งหมด 1,988,097 คัน ลดลง 2% จาก 8 เดือนปีที่แล้ว โดยมาเลเซียมียอดขายอันดับหนึ่ง 511,949 คัน ส่วนแบ่งตลาด 26% อินโดนีเซียซึ่งครองอันดับหนึ่งมานานตกเป็นอันดับสอง ด้วยยอดขาย 500,944 คัน ลดลงจากปีที่แล้ว 11% มีส่วนแบ่งตลาด 25%
ไทยอันดับสามหล่นจากอันดับสองให้มาเลเชียเมื่อปีก่อนด้วยยอดขาย 399,418 คัน ส่วนแบ่งตลาด 20% เท่าปีที่แล้ว ฟิลิปปินส์อันดับสี่ ด้วยยอดขาย 305,922 คัน ส่วนแบ่งตลาด15% เวียดนามอันดับห้าด้วยยอดขาย 220,733 คัน เพิ่มขึ้น17% ส่วนแบ่งตลาด 11% ประเทศไทยได้ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้ามาช่วยให้ยอดขายดีขึ้นมาชดเชยการลดลงของรถกระบะ ที่ลดลงมาร่วม 3 ปีหรือลดลงกว่า 250,000 คัน
2569 มีโอกาสล้นรัฐกระตุ้นเศรษฐกิจฟื้น
สำหรับปี 2569 หลังการเลือกตั้ง ยังกังวลเรื่องการตั้งรัฐบาลที่อาจจะล่าช้าทำให้งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2570 ที่จะลงสู่ระบบเกิดความล่าช้า อาจส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศสะดุด สภาพคล่องด้านการเงินบางบริษัทจะมีปัญหา เป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจที่อ่อนแออยู่แล้วทรุดหนักลงไปอีกเหมือนที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดีหากตั้งรัฐบาลได้เร็วมีรัฐมนตรีที่มีความรู้ความสามารถ ซื่อสัตย์ รักชาติ รักประชาชน และรู้ในภารกิจของกระทรวงนั้น ๆ ก็จะได้เห็นการลงทุนกว่าหลายแสนล้านบาทจากบริษัทที่ได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุนแล้วกว่า 1 ล้านล้านบาท ทั้งด้านดาต้าเซ็นเตอร์ ดิจิทัล AI semiconductor ฯลฯ คนไทยจะได้มีงานทำมากขึ้น มีรายได้มากขึ้น จับจ่ายซื้อของมากขึ้น ชำระหนี้มากขึ้นจนหนี้ครัวเรือนต่ำกว่า 80% ของ ​GDP
รวมทั้งหากมีการปราบปรามแก๊งมิจฉาชีพจนเหลือน้อยมาก มีการใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดจนชาวต่างชาติเห็นว่าประเทศไทยมีความปลอดภัยสูง ก็จะมาท่องเที่ยวมากขึ้นกว่า 40 ล้านคน คนไทยในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะได้มีรายได้มากขึ้น
โฆษณา