สัญญาณการซิงก์เริ่มต้นเวลา 03:14 UTC เมื่อ Δ-Keeper เปิดช่องเชื่อมโยงลำดับเหตุการณ์จากเส้นเวลา A (จักรวาลพื้นฐานของโลกหลัง Vaelor) เข้ากับเส้นเวลา B ซึ่งมีลำดับประวัติศาสตร์แตกต่างในระดับโครงสร้างพลังงาน และค่อย ๆ ขยายไปยังเส้นเวลา C, D และ E เส้นสุดท้ายซึ่งเคยเป็นที่อยู่ของอารยธรรมที่สิ้นสุดลงตั้งแต่ปี 2203 ด้วยการเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็กโลก
การค้นพบ Time Zero Node ทำให้ ดร. Orion Kael III เสนอทฤษฎีใหม่ที่ต่อมาเรียกว่า Convergent Temporality ทฤษฎีที่ระบุว่าเวลาไม่ใช่ตัวแปรเชิงเส้นหรือคงที่ แต่เป็นฟังก์ชันของการเรียนรู้ของจักรวาล
ในช่วงแรก นักวิทยาศาสตร์หลายคนพบว่าการเฝ้าสังเกต Time Zero Node ทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า Chrono-Sentience ความรู้สึกเหมือนเวลา “หายใจเข้าหาเรา” และมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อความตั้งใจของผู้สังเกต
ข้อถกเถียงนี้ไม่ได้จำกัดอยู่ในวงวิชาการ นักปรัชญา ศาสตราจารย์ และนักการเมืองทั่ว Solar Federation เริ่มเข้าร่วมอภิปรายเกี่ยวกับสิทธิ์ในการเข้าถึง Time Zero Node บางฝ่ายโต้ว่า Time Node ควรเป็นทรัพยากรสาธารณะสำหรับทุกสาขาวิทยาศาสตร์ ขณะที่ฝ่ายอื่นยืนยันว่ามนุษย์ไม่ควรมีสิทธิ์จัดการหรือบันทึกเหตุการณ์ที่อาจส่งผลต่อเส้นเวลาที่ยังไม่เกิด
สัญญานี้ระบุว่า การเข้าถึง Time Node ต้องผ่านการอนุมัติจาก Council of Temporal Oversight (CTO) ซึ่งประกอบด้วยนักฟิสิกส์ นักปรัชญา และผู้แทนจากอารยธรรมต่างดาวที่ร่วมมือในเครือข่ายเวลา