รถน้ำท่วมแต่ดับเครื่อง แล้วสตาร์ทซ้ำ = ประกันไม่จ่าย เพราะอะไร?
เวลาฝนตกหนัก ท่วมเร็ว หรือถนนเจอน้ำขังสูง สิ่งที่หลายคนกลัวที่สุดคือ “รถดับกลางน้ำ” เพราะนอกจากจะเสียเวลา ยังเสี่ยงเสียเงินค่าซ่อมหลักหมื่นถึงหลักแสน แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือ…หลายคนยังไม่รู้ว่า การสตาร์ทรถซ้ำหลังจากรถดับเพราะน้ำ ทำให้ประกันปฏิเสธความคุ้มครองได้ทันที
เหตุผลไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย แต่เกี่ยวกับหลักการสำคัญของงานประกันภัย นั่นคือ “ต้องไม่มีความเสียหายในลักษณะการจงใจ หรือประมาทเลินเล่อร้ายแรง” ซึ่งการสตาร์ทรถซ้ำถือเข้าข่ายนี้แบบเต็ม ๆ
เมื่อรถดับเพราะน้ำท่วม เครื่องยนต์ส่วนใหญ่จะเกิดอาการที่เรียกว่า “วอเตอร์ล็อก” คือมีน้ำเข้าไปในห้องเผาไหม้แทนน้ำมัน เมื่อผู้ขับพยายามสตาร์ทรถอีกครั้ง เครื่องยนต์จะพยายามบีบอัดน้ำ (ซึ่งบีบอัดไม่ได้) ทำให้ชิ้นส่วนภายในเสียหายหนัก ชนิดที่ซ่อมยากและซ่อมแพงมาก เช่น ก้านสูบคด ห้องเครื่องแตก หรือเครื่องพังทั้งลูก
พูดง่าย ๆ คือ รถดับเพราะน้ำ = เสียหายระดับหนึ่ง
สตาร์ทซ้ำ = ทำให้เครื่องพังหนักขึ้นหลายเท่า
และความเสียหายที่เกิดจาก “การกระทำที่ทำให้สถานการณ์แย่ลง” แบบนี้ จะไม่อยู่ในความคุ้มครองของประกัน ไม่ว่าจะเป็นประกันชั้น 1 หรือแบบไหนก็ตาม เพราะบริษัทประกันมองว่าเป็นความเสียหายที่เกิดจากการกระทำของผู้ขับโดยตรง ไม่ใช่อุบัติเหตุที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
มีหลายเคสที่ผู้ขับคิดว่า “ลองสตาร์ทดู เผื่อรอด” หรือ “อยากขยับรถหนีจากน้ำ” แต่สุดท้ายกลับทำให้เครื่องเสียหนักกว่าเดิมจนประกันไม่รับผิดชอบ ค่าใช้จ่ายที่ตามมาอาจสูงเป็นหลักแสนแบบไม่ทันตั้งตัว ทั้งที่จริง ๆ ถ้ารู้วิธีที่ถูกต้อง รถอาจเสียหายไม่ถึงขั้นนั้นเลยก็ได้
วิธีที่ถูกต้องที่สุดเมื่อรถดับเพราะน้ำคือ
หยุดทันที – ไม่สตาร์ท – โทรเรียกรถยก
แล้วให้ช่างตรวจเช็กก่อนว่าเครื่องยนต์มีน้ำเข้าไปหรือไม่ การไม่สตาร์ทซ้ำช่วยลดความเสียหายได้มาก และทำให้ประกันคุ้มครองตามปกติ
เรื่องนี้เป็นตัวอย่างสำคัญว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ความรู้เพียงเล็กน้อยสามารถช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มหาศาล และที่สำคัญคือไม่ทำให้เสียสิทธิ์คุ้มครองโดยไม่จำเป็น
ในวันที่น้ำมาเร็วและแรงกว่าที่คิด การรู้ทันเงื่อนไขแบบนี้ ช่วยให้เราปกป้องทั้งรถและสิทธิ์ของเราได้พร้อมกันครับ
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
