23 พ.ย. เวลา 05:45 • หุ้น & เศรษฐกิจ

เศรษฐกิจไทย ปี 68 เจอศึกหนัก เสี่ยงไปต่อยาก หากไม่มีแผน ปรับ-เปลี่ยน ชัดเจน

เศรษฐกิจไทย ปี 68 เจอศึกหนัก เสี่ยงไปต่อยาก หากไม่มีแผน ปรับ-เปลี่ยน ชัดเจน ยืนยัน! เดินหน้า Quick Big Win เตรียมลงทุนพลังงานสะอาด-เพิ่มทักษะคนไทย จ่อทำ Fast Pass ดึงนักลงทุน สร้างรากฐานเศรษฐกิจระยะยาว
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “Thailand 2026 : ปรับ-เปลี่ยน-ไปต่อ” ภายในงานสัมมนาประชาชาติธุรกิจ Prachachat Outlook : Thailand 2026 ว่า คงไม่มีใครปฏิเสธว่าในปี 2025 โลกเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่
และประเทศไทยเผชิญความท้าทายจากภายในไม่ว่าจะเป็นขีดความสามารถทางด้านการแข่งขัน หนี้ครัวเรือนสูงโครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมสูงวัย การดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศ
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
และเจอความเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล เนื่องจาก AI เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง รวมไปถึงในปีหน้าจะเข้าสู่การเลือกตั้งใหญ่
ซึ่งในปี 2026 ถ้าหากว่าประเทศไทยไม่เปลี่ยนก็คงจะฟื้นตัวได้ยาก และหากยอมปรับเปลี่ยนแต่ไม่มีกลยุทธ์หรือแผนงานที่ชัดเจน ในการเดินหน้าเพื่อไปต่อ ก็อาจเป็นตัวเร่งเพื่อให้เกิดความเสี่ยงเพิ่มขึ้น แต่ถ้าหากเราปรับเปลี่ยนกล้าคิดกล้าทำแสวงหานวัตกรรมสร้าง Growth engine ก็จะทำให้การไปต่อในครั้งนี้ได้ผลลัพธ์ต่างจากที่เราคิดไว้
นายเอกนิติ กล่าวว่า โลกเปลี่ยนไป ทั้งในประเทศ และการค้าโลก ผลกระทบจากภาษีทรัมป์ และ Geopolitic โดยที่ผ่านมาไทยเคยเติบโตได้ แต่วันนี้ถูกประเทศอื่นแซงไปเรื่อย ๆ และสิ่งแรกที่ต้องเร่งทำคือ ปรับมุมมอง การออกแบบนโยบายเศรษฐกิจต้องเริ่มจากการยอมรับความจริงว่าปัญหาคืออะไร และออกแบบนโยบายเพื่อให้ไปต่อได้ทันที โดยไม่รออนาคต
นี่คือเหตุผลที่มีคำว่า Quick Big Win ในสายเศรษฐกิจ เพราะเตรียมเรื่องนี้ก่อนเริ่มทำงานกับทีมงานเศรษฐกิจ ซึ่งมีเวลาแค่ 4 เดือน ต้องทำให้เร็ว ใหญ่ใหญ่และวิน เพื่อให้ประชาชนคนไทยได้รับประโยชน์แบบเกิดการกระจายตัว และลดความเหลื่อมล้ำ
นายเอกนิติ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยชะลอลงเรื่อยๆ เห็นได้จากข้อมูลตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาส 1 โต 3.2% ไตรมาส 2 เหลือ 2.8% ไตรมาส 3 เหลือ 1.2% และในไตรมาส 4 หากไม่ทำอะไรเลย ก็อาจจะโตใกล้ 0.3% ดังนั้นการยอมรับความจริงจึงสำคัญเพื่อเปลี่ยนวิธีคิดในการทำเศรษฐกิจให้ฟื้นระยะสั้นและโตระยะยาว
โดยหนึ่งในมาตรการสำคัญของรัฐบาลที่เร่งทำ ได้แก่
  • เสาที่ 1 คือโครงการ "คนละครึ่ง พลัส" ที่ออกแบบเพื่อฟื้นเศรษฐกิจระยะสั้นและสร้างผลยาว โดยเน้นกระจายผลไปทั้งประเทศ พร้อมพัฒนาทักษะพ่อค้าแม่ค้า หรือ อัปสกิล-รีสกิล ที่ร่วมกับแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ทั้ง 4 ราย ธนาคาร และสตาร์ทอัพ นำเครื่องมือดิจิทัลมาใช้ให้พ่อค้าแม่ค้าขายของในรูปแบบออนไลน์ได้ ส่งผลให้รายได้เพิ่ม 3-4 เท่า
และไม่ใช่เป็นเพียงแค่การช่วยเหลือผู้ประกอบการอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงช่วยให้ไรเดอร์ฟู้ดเดลิเวอรี่มีรายได้เพิ่ม 15% อีกด้วย
นอกจากนี้ ในส่วนของรัฐบาลเอง ได้ใช้ระบบดิจิทัลช่วยติดตามเม็ดเงินจากโครงการดังกล่าว ซึ่งพบว่ากระจายในกรุงเทพฯ เพียง 16% ของเงินทั้งหมดเท่านั้น แต่ใหญ่กระจายอยู่ในต่างจังหวัด
การปรับวิธีการทำงานให้เร็วขึ้น ทำให้สามารถออกนโยบายเศรษฐกิจได้ทุกสัปดาห์ จากการเข้ามาทำงานเพียงแค่ 6-7 สัปดาห์ เราก็ทำงานตามแผนไปได้เกือบครบแล้ว ดังนั้นการทำงานร่วมกับเอกชน ธนาคาร และสมาคมธนาคารไทย เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้โครงการสำเร็จ พ่อค้าแม่ค้าได้รับทักษะใหม่ สามารถขายออนไลน์และสร้างรายได้เพิ่มขึ้น
โดยรัฐบาลยังสนับสนุนการท่องเที่ยวเมืองรองผ่านมาตรการ "เที่ยวดี มีคืน" หรือการออกไปเที่ยวในเมืองรองแล้วสามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้ 1.5 เท่า อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้ ผู้ประกอบการที่พักหรือโรงแรม ทำการรีโนเวท ปรับปรุงโรงแรม และสามารถนำมาหักค่าใช้จ่ายเพิ่มได้ ซึ่งจะส่งผลทำให้เศรษฐกิจฟื้นระยะสั้นได้ผลยาว กระจายตัว และเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน
แนวคิดสำคัญคือ ปรับมุมมอง ยอมรับความจริง และออกแบบนโยบายเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ไม่ใช่แค่กระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น แต่ต้องสร้างผลยาว เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน และกระจายผลประโยชน์ไปทั่วประเทศ
  • เสาที่ 2 ต้องยอมรับความจริง เรื่องปัญหาหนี้ครัวเรือนและปัญหาเชิงโครงสร้างของ SME เพื่อแก้ปัญหาแบบยั่งยืน โดยย้ำว่า แก้ปัญหาระยะสั้นได้ แต่ต้องได้ผลยาว ประเทศไทยมีหนี้ครัวเรือนสูงและเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริง รัฐบาลจึงร่วมกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย และธนาคารรัฐ-เอกชน ดำเนินมาตรการดึงหนี้ที่ไม่มีหลักประกันต่ำกว่า 100,000 บาท จำนวนประมาณ 3.4 ล้านราย ออกจากระบบเพื่อรวมหนี้ให้ลูกหนี้แต่ละคนไม่ถูกทวงซ้ำหลายแห่ง ผ่านกลไกบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC)
พร้อมปรับโครงสร้างหนี้ ลดดอกเบี้ย ลดค่าธรรมเนียม และสร้างวินัยทางการเงิน (Financial Literacy) ให้ลูกหนี้กลับมามีเครดิตและสามารถกู้เพื่อประกอบอาชีพหรือซื้อบ้านได้ การดำเนินงานครั้งนี้ใช้งบจากเงินค้างในกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ประมาณ 20,000 ล้านบาท ไม่ใช้งบประมาณแผ่นดิน และตั้งเป้าฟื้นฟูลูกหนี้ให้กลับมามีชีวิตทางการเงินที่มั่นคง
สำหรับในกลุ่มผู้ประกอบการ SME ประมาณ 90% กำลังขาดสภาพคล่อง หากไม่ช่วย SME ตัวใหญ่และซัพพลายเชน อาจเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม รัฐบาล จึงร่วมกับธนาคาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมแพ็กเกจ Soft Loan ลดดอกเบี้ย พร้อมมาตรการภาษี เช่น คืนภาษีเร็ว ลดเครดิตเทอม เพื่อกระตุ้นให้ธนาคารปล่อยสินเชื่อและช่วย SME ประคับประคองกิจการ
นอกจากนี้จะมีการลงทุนเพื่ออนาคต ในพลังงานสะอาด (Green Energy) และการพัฒนาทรัพยากรคน (Workforce Transformation) เพื่อสร้างรากฐานเศรษฐกิจระยะยาว โดยที่ประเทศไทยจะเน้นลงทุนในสองด้านหลัก ได้แก่
1. ทรัพยากรมนุษย์ ด้วยการ Upskill - Reskill แรงงานไทยให้ตรงความต้องการของตลาด ผ่านความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยและภาคเอกชน ตั้งเป้า 100,000 คนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมแปรรูปวัตถุดิบทางการเกษตร (Food processing) และอุตสาหกรรมดิจิทัล
2. โครงสร้างพื้นฐานสมัยใหม่ ด้วยการทำพลังงานสะอาด เช่น โซลาร์ฟาร์มแบบลอยน้ำ (Floating Solar) และการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ เช่น อีวี ดาต้าเซ็นเตอร์ และเทคโนโลยี AI
รวมไปถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรมใหม่จะใช้กลไก Public-Private Partnership (PPP) และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานไทย (Thailand Infrastructure Fund) เพื่อดึงเอกชนร่วมลงทุน
วันนี้โลกไม่ต้องการการลงทุนแบบเดิม เค้าต้องการไฟสะอาด เค้าต้องการพลังงานสะอาด เราถึงต้องเน้นให้ ความสำคัญในเรื่องนี้
นายเอกนิติ ระบุว่า สำหรับการดึงลงทุนใหม่ รัฐบาลจะใช้โครงการ Fast Pass เพื่อลดขั้นตอนการอนุมัติใบอนุญาต และเร่งการเชื่อมโยงหน่วยงานภาครัฐเพื่อให้โครงการลงทุน 60 โครงการ ที่มีมูลค่ากว่า 300,000 ล้านบาท เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
ประเทศไทยไม่ใช่มีเสน่ห์ คนอยากมาลงทุนในไทยเยอะมาก จากการตรวจสอบตัวเลข ใน BOI พบว่า มีคนมาสมัครขอลงทุนอยู่ที่ 1.3 ล้านล้านบาท ซึ่งเพิ่มจากปีที่แล้วมากกว่า 90% แต่มันติดล็อคหมดเลย ไปขอน้ำขอไฟ ขอพลังงาน ก็ติดขัดไปหมด ซึ่งอันนี้มันเป็นเรื่องที่ไม่ต้องใช้เงินใดๆแค่ไปปลดล็อคเท่านั้น ซึ่งจะนำเรื่องนี้เข้าครม.ในสัปดาห์หน้า
อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ในไตรมาส 4 ของปีนี้ และสร้างรากฐานให้ประเทศไปต่อได้ในปีหน้า โดยนายเอกนิติ ย้ำว่า ประเทศไทยยังมีศักยภาพและเสน่ห์ในการลงทุน หากปลดล็อกอุปสรรคและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ได้อย่างเหมาะสม
อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ :
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ https://www.pptvhd36.com
และช่องทาง Social Media
โฆษณา