9 ชั่วโมงที่แล้ว • การศึกษา

[เมื่อระเบียบวินัยกลายเป็นเครื่องมือละเมิดสิทธิเด็ก : กรณีศึกษาจากโรงเรียนในกรุงเทพฯ]

20 พฤศจิกายน 2568 ข่าวสารจากผู้ร้องเรียนผ่านเพจนักเรียนเลวได้จุดประกายการถกเถียงในสังคมไทยเกี่ยวกับบทบาทของครูและโรงเรียนในการบังคับใช้ระเบียบวินัย โดยเฉพาะกรณีที่เกิดขึ้นในโรงเรียนแห่งหนึ่งย่านภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
ผู้ร้องเรียนซึ่งเป็นนักเรียนในโรงเรียนดังกล่าว เปิดเผยว่าครูจำนวน 5 คนได้ตรวจสอบทรงผมของนักเรียนและบังคับให้ตัดผมภายในโรงเรียน แม้ว่าครูเหล่านั้นจะไม่มีทักษะการตัดผมอย่างมืออาชีพก็ตาม ในกรณีนี้ ผู้ร้องเรียนซึ่งไว้ทรงผม “รองทรงกลาง” ถูกระบุว่าฝ่าฝืนระเบียบ และถูกบังคับให้ตัดผมโดยทันที
ที่น่ากังวลยิ่งกว่านั้นคือการเก็บค่าตัดผมจากนักเรียน โดยมีอัตราที่กำหนดตามรูปแบบทรงผม ได้แก่ 10 บาทสำหรับทรงสกินเฮด (หัวโล้น), 20 บาทสำหรับทรงนักเรียนมาตรฐาน, 30 บาทสำหรับทรงตามดุลยพินิจของครู, และ 40 บาทสำหรับทรงที่สอดคล้องกับระเบียบโรงเรียน ผู้ร้องเรียนยืนยันว่าตนได้โอนเงิน 20 บาทผ่านระบบโมบายแบงก์กิ้งไปยังบัญชีที่คาดว่าเป็นของครูผู้ตัดผม
นอกจากนี้ ยังมีการพูดเยาะเย้ยนักเรียนต่อหน้าผู้อื่น เช่น “อย่าไปแอบร้องไห้ในห้องน้ำอีกนะ” ซึ่งอ้างอิงจากเหตุการณ์ครั้งก่อนที่นักเรียนร้องไห้เนื่องจากถูกตัดผมและรู้สึกอับอาย เหตุการณ์ลักษณะนี้ถูกระบุว่าเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อนักเรียนหลายคนในโรงเรียน
[ระเบียบวินัยที่เกินกว่าเหตุและการใช้อำนาจที่ไม่สมดุล]
การบังคับตัดผมในโรงเรียนอาจถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาความเป็นระเบียบและวินัย ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติทั่วไปในระบบการศึกษาไทยมาอย่างยาวนาน อย่างไรก็ตาม กรณีนี้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาหลายประการที่ทำให้มาตรการดังกล่าวไม่สมควรเกิดขึ้นตั้งแต่แรก
ประการแรก การที่ครูซึ่งไม่ใช่ช่างตัดผมมืออาชีพมาดำเนินการตัดผมเองอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ เช่น ทรงผมที่ไม่เรียบร้อยหรือแม้แต่การบาดเจ็บ ซึ่งขัดกับหลักการที่โรงเรียนควรเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก การเก็บค่าตัดผมยังอาจเข้าข่ายการแสวงหาผลประโยชน์ทางการเงินจากนักเรียน ซึ่งในกรณีนี้ถูกชำระผ่านบัญชีส่วนบุคคล สร้างคำถามถึงความโปร่งใสและจริยธรรมของครูผู้เกี่ยวข้อง
ประการที่สอง การพูดเยาะเย้ยนักเรียน เช่น การอ้างถึงการร้องไห้ในห้องน้ำ ถือเป็นรูปแบบหนึ่งของการกลั่นแกล้งทางจิตใจ (psychological bullying) ซึ่งอาจทำให้เด็กสูญเสียความมั่นใจ รู้สึกอับอาย และส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทางอารมณ์ในระยะยาว การกระทำเช่นนี้ไม่เพียงขัดกับบทบาทของครูในฐานะผู้ปกป้องและส่งเสริมนักเรียน
แต่ยังสะท้อนถึงการใช้อำนาจที่ไม่สมดุลระหว่างครูกับนักเรียน ในยุคที่สังคมไทยกำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่การเคารพความหลากหลายทางอัตลักษณ์บุคคล การบังคับตัดผมโดยไม่คำนึงถึงบริบทส่วนตัว (เช่น ทรงผมที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมหรือสุขภาพ) อาจย้อนยุคไปสู่ระบบที่เน้น “ความเหมือนกัน” มากกว่าการพัฒนาบุคคลิกภาพ ซึ่งอาจนำไปสู่การหลุดออกจากระบบการศึกษาของเด็กที่รู้สึกถูกกดขี่
[การละเมิดสิทธิเด็กที่ขัดต่อกฎหมายไทย]
กฎหมายไทยมีบทบัญญัติชัดเจนที่คุ้มครองสิทธิเด็กและห้ามการละเมิดในสถานศึกษา ซึ่งกรณีนี้อาจขัดต่อหลายประการ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 28 ระบุว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย” ซึ่งรวมถึงเสรีภาพในการแสดงออกทางอัตลักษณ์บุคคล เช่น ทรงผม การบังคับตัดผมโดยไม่ได้รับความยินยอมจึงอาจถือเป็นการละเมิดเสรีภาพเหนือร่างกาย
นอกจากนี้ มาตรา 27 ย้ำถึงหลักความเสมอภาคและห้ามการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม ซึ่งการเก็บเงินและเยาะเย้ยอาจเข้าข่ายเลือกปฏิบัติต่อนักเรียนที่ไม่ปฏิบัติตามระเบียบ
พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 มาตรา 22 กำหนดว่า “การปฏิบัติต่อเด็กไม่ว่ากรณีใด ให้คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญและไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม” การบังคับตัดผม การเก็บเงิน และการเยาะเย้ยอาจไม่คำนึงถึง “ประโยชน์สูงสุด” เพราะอาจสร้างความเสียหายทางจิตใจ
และมาตรา 26 ห้ามการกระทำที่เป็นการทรมานร่างกายหรือจิตใจเด็ก ซึ่งการตัดผมโดยบังคับและเยาะเย้ยอาจเข้าข่ายนี้ และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) ซึ่งไทยเป็นภาคีตั้งแต่ พ.ศ. 2535 มาตรา 16 ห้ามการแทรกแซงโดยพลการในชีวิตส่วนตัวของเด็ก และมาตรา 28 รับรองสิทธิในการศึกษาโดยไม่เลือกปฏิบัติ การกระทำดังกล่าวจึงอาจขัดกับ CRC ซึ่ง UNICEF Thailand ย้ำว่าโรงเรียนต้องเป็นพื้นที่ปลอดภัย
ส่วนระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา พ.ศ. 2548 กำหนดการลงโทษ 4 สถาน ได้แก่ ตักเตือน, ทัณฑ์บน, ตัดคะแนนความประพฤติ และทำกิจกรรมเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ซึ่งการลงโทษต้องเป็นไปตามหลักความได้สัดส่วนและเคารพศักดิ์ศรีมนุษย์ การบังคับตัดผมและเก็บเงินจึงอาจเกินกว่าเหตุ
นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการได้ยกเลิกระเบียบว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ. 2563 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2566 และย้ำอีกครั้งในปี พ.ศ. 2568 ว่า “ทรงผมนักเรียนยกเลิก 100% ไม่ระบุความยาว” โดยศาลปกครองสูงสุดเพิกถอนระเบียบปี พ.ศ. 2518 เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2568 เนื่องจากขัดรัฐธรรมนูญ การที่โรงเรียนยังบังคับตัดผมจึงขัดกับแนวทางกระทรวง
กรณี “การบังคับตัดผม” ในโรงเรียนเขตภาษีเจริญเป็นตัวอย่างชัดเจนของปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะท้อนถึงการใช้กฎระเบียบล้าสมัย ซึ่งอาจละเมิดสิทธิเด็กตามที่กฎหมายกำหนด ไม่เพียงแต่เป็นการจำกัดเสรีภาพส่วนบุคคลของนักเรียนเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อความมั่นคงทางจิตใจ การเรียนรู้ และคุณภาพชีวิตในโรงเรียนของเด็กจำนวนมากอีกด้วย
กระทรวงศึกษาธิการควรเร่งดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างโปร่งใส พร้อมประเมินว่าระเบียบวินัยที่ใช้อยู่ในปัจจุบันสอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนและเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสิทธิเด็กหรือไม่ หากพบว่าระเบียบหรือการปฏิบัติบางประการขัดต่อสิทธิเหล่านี้ ควรเร่งปรับปรุงและกำหนดมาตรการป้องกันอย่างชัดเจน เพื่อให้โรงเรียนทั่วประเทศมีแนวทางปฏิบัติในทิศทางเดียวกัน ลดความเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิในอนาคต
#ขบวนการนักเรียนเพื่อการอภิวัฒน์
โฆษณา