เมื่อวาน เวลา 12:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

สงคราม EV ที่สู้กันในไร่ถั่วเหลืองมูลค่า 400,000 ล้าน

เบื้องหลังสงครามภาษีรถยนต์ไฟฟ้าตะวันตก-จีน ไม่ได้สู้ในโรงงาน แต่สู้ในห่วงโซ่อุปทาน
เมื่อโลกพูดถึงสงครามรถยนต์ไฟฟ้า เรามักคิดถึงเทคโนโลยีแบตเตอรี่ การแข่งขันด้านราคา โรงงานขนาดใหญ่ หรือแบรนด์จีนที่ทะยานขึ้นมาแย่งตลาดยุโรปและสหรัฐ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกลับซับซ้อนกว่านั้นมาก เพราะวันนี้สงคราม EV ไม่ได้ต่อสู้กันในโรงงานรถยนต์เท่านั้น แต่ลามอยู่ในไร่ถั่วเหลืองของอเมริกา โรงกลั่นคอนยัคของฝรั่งเศส ฟาร์มหมูของสเปน และโกดังคาโนลาของแคนาดาด้วย
ช่วงปีที่ผ่านมา สหรัฐ ยุโรป และแคนาดาตัดสินใจตั้ง “กำแพงภาษีรถยนต์ไฟฟ้าจีน” หนักที่สุดในรอบหลายปี ความตั้งใจคือปกป้องค่ายรถในประเทศตัวเองจากคลื่นรถ EV ราคาถูกจากจีน
แต่ที่น่าสนใจคือจีนไม่ตอบด้วยรถยนต์ ไม่ตอบด้วยเทคโนโลยี แต่ตอบโต้ด้วยอาหาร
🚗 [ EV Trend ในตอนนี้ ]
- ปี 2024 ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกประมาณ 17 ล้านคัน คิดเป็นราว 20% ของรถใหม่ทั้งหมดที่ขายบนโลก (ปี 2023 อยู่ที่ 14 ล้านคัน หรือ 18%)
- รถยนต์ไฟฟ้าที่วิ่งอยู่บนถนนทั่วโลกปลายปี 2024 ประมาณ 60 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 6 เท่าจากปี 2018
- ถ้าดูในแง่ของตัวเงิน มีการประเมินว่าตลาด EV โลกปี 2024 มีมูลค่ารวมราว 900,000 ล้านดอลลาร์ และอาจโตถึงราว 2.2 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2030 (CAGR ~16–17%)
- ในแง่การผลิต เว็บไซต์องค์การพลังงานระหว่างประเทศ (iea .org) ระบุว่าจีนผลิตรถไฟฟ้า มากกว่า 70% ของกำลังการผลิตโลก ปี 2024 (ราว 12.4 ล้านคันจาก 17.3 ล้านคันที่ผลิตทั่วโลก)
หากดูจากตัวเลขเหล่านี้เราจะเห็นถึงเหตุผลเบื้องหลังว่าทำไมประเทศฝั่งตะวันตกถึงต้องตั้งกำแพงภาษีให้สูงขนาดนี้ เพราะจีนเป็นผู้เล่นรายใหญ่ของโลก EV อย่างไม่ต้องสงสัย และต่อจากนี้มีโอกาสที่จะเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ
ปี 2024–2025 สหรัฐเพิ่มภาษีรถ EV จากจีนจาก 25% เป็น 100% ยุโรปเก็บภาษี 17–35% แคนาดาก็ประกาศตัวเลขที่ใกล้เคียงกับอเมริกา
ความตั้งใจคือปกป้องผู้ผลิตรถดั้งเดิมในประเทศ
เพียงแต่ว่าปฏิกิริยาของจีนกลับไม่ใช่การตั้งภาษีตอบโต้รถยนต์หรือแบตเตอรี่ แต่คือการเลือกโจมตี “อาหาร” ซึ่งเป็นสินค้าที่เน่าเร็ว สร้างผลกระทบได้ไว ผู้ส่งออกส่วนใหญ่เป็น SME และกดดันรัฐบาลคู่แข่งในด้านการเมืองได้แรงที่สุด
🇨🇳 จีนเริ่มจาก
* ถั่วเหลืองสหรัฐมูลค่า 12,600 ล้านเหรียญ (ประมาณ 400,000 ล้านบาท) ถูกจีนหยุดสั่งซื้อใหม่จนเหลือศูนย์ภายในเวลาไม่กี่เดือน
* คอนยัคฝรั่งเศสซึ่งเคยพึ่งพาตลาดจีนกว่า 1,700 ล้านเหรียญต่อปี มียอดส่งออกหายไปถึง 35% ในเวลาไม่กี่สัปดาห์
* ส่วนเกษตรกรยุโรปที่ส่งออกหมูไปจีน ถูกตั้งกำแพงภาษีสูงสุดถึง 62% ทำให้กำไรหายไปอย่างรวดเร็ว
* ตลาดคาโนลามูลค่า 4,900 ล้านเหรียญของแคนาดาเองก็ถูกปิดทันที
การโจมตีสินค้าที่เน่าเร็วทำให้ความเสียหายเกิดขึ้น “ทันที” และทำให้แรงกดดันในประเทศเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด ต่างจากการตั้งภาษีสินค้าเทคโนโลยี ซึ่งผลกระทบกระจายตัวและใช้เวลานานกว่าจะส่งผลจริง
“เกษตรกรรมเป็นจุดโจมตีที่ทำได้ง่าย เพราะมันยังเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจท้องถิ่นจำนวนมาก และได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากข้อพิพาทด้านภาษีและความผันผวนทางการทูต” มาเรีย เปชูรินา ผู้อำนวยการฝ่ายการค้าระหว่างประเทศแห่ง Peacock Tariff Consulting กล่าวกับเว็บไซต์ Rest of World “นี่กลายเป็นหนึ่งในยุทธวิธีที่จีนใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในคู่มือการต่อรองทางเศรษฐกิจ (Economic Statecraft) ของตัวเอง”
กลยุทธ์นี้เป็นสิ่งที่จีนเคยใช้มาแล้ว ปี 2018 เมื่อสหรัฐตั้งภาษีแผงโซลาร์ จีนก็ตอบกลับด้วยภาษีข้าวฟ่าง 178% ส่วนในปี 2020 เมื่อออสเตรเลียเรียกร้องสอบสวนต้นตอของ Covid จีนก็ตอบโต้ด้วยภาษีไวน์ที่สูงกว่า 200%
นี่คือ Economic Statecraft เลือกกดดันไปยังอุตสาหกรรมที่กระทบแรงที่สุดในทางการเมืองภายในประเทศคู่แข่ง
เมื่อมองลึกลงไป สงคราม EV ที่กำลังเกิดขึ้นจึงไม่ใช่แค่การปะทะกันของผู้ผลิตรถยนต์ แต่มันคือการดึงเชือกเรื่อง “ใครจะมีอำนาจควบคุมห่วงโซ่อุปทานโลกในอนาคต”
จีนถือไพ่เหนือกว่าในหลายด้าน ตั้งแต่แร่หายาก การผลิตแบตเตอรี่ ราคาต้นทุนแรงงาน การผลิต EV ที่เร็วกว่าและถูกกว่า ไปจนถึงเทคโนโลยีด้านซอฟต์แวร์ที่ฝังอยู่ในรถไฟฟ้ารุ่นใหม่ ๆ ในมุมมองของตะวันตก การตั้งกำแพงภาษีคือความพยายามเตะตัดขา แต่ในมุมมองของจีน มันคือการบีบให้จีนต้องย้ายฐานการผลิตออกไปทั่วโลก เร็วกว่าที่ตั้งใจไว้หลายปี
การย้ายฐานผลิตของรถยนต์ไฟฟ้าจีนกำลังเร่งตัวอย่างชัดเจน โดยขยับไปยังเม็กซิโก ฮังการี ตุรกี ไทย และอินโดนีเซีย ประเทศที่มีโครงสร้างภาษีและต้นทุนแรงงานเหมาะกับการตั้งโรงงานมากกว่าเดิม
🚢 การย้ายฐานนี้ไม่ใช่แค่การเลี่ยงภาษี แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนภูมิทัศน์อุตสาหกรรม EV ในอีก 5–10 ปีข้างหน้า เพราะทันทีที่รถจีนถูกผลิตในประเทศปลายทาง มาตรการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศเหล่านั้นก็แทบใช้ไม่ได้อีกต่อไป นี่ทำให้ภาพการแข่งขันของ EV โลกจะขยับจาก “จีน vs ตะวันตก” ไปเป็น “จีนผลิตทั่วโลก” ซึ่งสะเทือนทั้งตลาดและผู้เล่นเดิมแบบถาวร
ในเวลาเดียวกัน การตอบโต้ด้วยภาษีอาหารของจีนทำให้ตลาดสินค้าเกษตรโลกสั่นสะเทือนอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน เมื่อจีนหยุดซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐหรือคาโนลาจากแคนาดา ก็แทบไม่มีประเทศไหนที่มีความต้องการขนาดใหญ่พอจะทดแทนได้ทันที ผลลัพธ์คือผู้ผลิตในตะวันตกเสียตลาดแบบฉับพลัน เส้นทางการค้าต้องถูกจัดใหม่ต้นทุนสูงขึ้น และบริษัทโลจิสติกส์ ตั้งแต่เรือเดินสมุทรไปจนถึงท่าเรือ กลับได้รับอานิสงส์จากการเกิดเส้นทางการค้าใหม่ ขณะที่จีนเบนเข็มเข้าหาประเทศที่เป็นมิตรมากขึ้นในเอเชีย (รวมถึงไทยด้วย)
เทรนด์นี้สร้างทั้งโอกาสและความเสี่ยงพร้อมกัน ไทยอาจได้ประโยชน์จากการย้ายฐานผลิต EV เข้ามาในภูมิภาค การเปิดเส้นทางโลจิสติกส์ใหม่ และบทบาทที่สูงขึ้นในห่วงโซ่อุปทาน EV แต่ในอีกด้าน ราคาวัตถุดิบและสินค้าโภคภัณฑ์จะผันผวนหนักขึ้นตามการปรับเส้นทางการค้าทั่วโลก
นักลงทุนจำเป็นต้องจับตาว่าอุตสาหกรรมใดจะได้ประโยชน์ เช่น นิคมอุตสาหกรรม โลจิสติกส์ แบตเตอรี่ และชิ้นส่วน EV และอุตสาหกรรมใดจะถูกบีบ เช่น เกษตรและผู้ผลิตฝั่งตะวันตกที่ถูกแย่งตลาดอย่างถาวร
ท้ายที่สุด สงคราม EV ไม่ใช่เรื่องรถอีกต่อไป แต่เป็นการแย่งชิงอำนาจในการกำหนดห่วงโซ่อุปทานของโลก ในโลกที่ห่วงโซ่อุปทานกำลังแตกขั้ว ผู้ชนะ–ผู้แพ้ในตลาดหุ้นอาจจะถูกตัดสินจาก “ประเทศที่โลกต้องพึ่งพา” มากกว่า “บริษัทที่ผลิตเก่งที่สุด” สำหรับนักลงทุนยุคใหม่ต้องมองให้พ้นแค่งบการเงิน และดูให้เห็นว่าเทรนด์โลกการลงทุนจะไปทางไหน และใครอยู่บนเส้นทางการค้าแห่งอนาคตนี้บ้าง
#aomMONEY #MakeRichGeneration #การลงทุน
โฆษณา