เมื่อวาน เวลา 05:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ปิดฉากท่องเที่ยว 9 เดือน ปี 2568 บิ๊กธุรกิจฝ่ามรสุมต่างชาติหดตัว พลิกวิกฤต โกยกำไร

ภาพรวมการท่องเที่ยวของไทยในปีนี้จะชลอตัว แต่ธุรกิจท่องเที่ยวช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ทั้ง สายการบิน และ ธุรกิจโรงแรม ยังพบว่าสามารถฝ่ามรสุมต่างชาติหดตัว พลิกวิกฤต โกยกำไรได้กันเป็นส่วนใหญ่
แม้ภาพรวมการท่องเที่ยวของไทยในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทย 24 ล้านคน ติดลบกว่า 7 % อันเป็นผลจากการชลอตัวของนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงถึง 35 % และแม้ปีนี้นักท่องเที่ยวยุโรป และหลายตลาดจะเติบโตสูงกว่าช่วงก่อนเกิดโควิดไปแล้ว
แต่ด้วยนักท่องเที่ยวจีนเป็นตลาดหลักครองส่วนแบ่งตลาดท่องเที่ยวไทยกว่า 28 % การหดตัวของจีน ส่งผลให้การดำเนินธุรกิจท่องเที่ยวในปีนี้ เป็นความท้าทาย แต่บิ๊กธุรกิจรายใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯก็เดินกลยุทธโกยกำไรได้กันถ้วนหน้า
ธุรกิจท่องเที่ยวช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ในบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ทั้งสายการบินและธุรกิจโรงแรม ยังพบว่าสามารถฝ่าแนวต้านในช่วงโลว์ซีซันปีนี้ไปได้ จนทำกำไรถ้วนหน้า
ยกเว้น บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) (DTC) ที่ขาดทุนอยู่ สาเหตุหลักมาจากต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ และมีดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นจากส่วนงานที่ก่อสร้างแล้วเสร็จของโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค แต่ในแง่ของการดำเนินธุรกิจ ถือว่าเติบโตจากการกลับมาเปิดให้บริการโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ และการทยอยรับรู้รายได้จากโครงการดุสิต เรสซิเดนซ์
  • 3 สายการบิน กำไรแตะ 3 หมื่นล้าน
ในส่วนของธุรกิจการบิน พบว่า 3 สายการบินหลักของไทย ต่างโกยกำไรถ้วนหน้า โดยภาพรวมช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา พบว่า ธุรกิจสายการบินของไทย มีกำไรรวมกว่า 30,259 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 21,572 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 8,687 ล้านบาท
สายการบินที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง คือ “การบินไทย” มีผลประกอบการที่โดดเด่นอย่างมาก ปิดฉาก 9 เดือนด้วยกำไรสุทธิสูงถึง 26,394 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 73.4 % และมีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 37 % เป็นผลสำเร็จที่สำคัญมาจากการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ค่าใช้จ่ายโดยรวม ราคาน้ำมันเฉลี่ยที่ลดลง และการแข็งค่าของเงินบาท ส่งผลให้ต้นทุนต่อหน่วยปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสาร (CASK) ลดลงเหลือ 1.364 บาท ทั้งยังมีปริมาณการขนส่งผู้โดยสาร (RPK) เพิ่มขึ้น 13.2 %
เนื่องจากการบินไทยมีการเติบโตของผู้โดยสารในเส้นทางยุโรปสูง สอดคล้องกับการเติบโตของนักท่องเที่ยวยุโรปที่เดินทางเข้าไทย การพึ่งพิงผู้โดยสารจีนมีไม่สูงกว่าสายการบินอื่น และอัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) อยู่ที่ 79.1%
ผลประกอบการสายการบิน โรงแรม 9 เดือนแรก ปี 2568
ขณะที่สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส และ ไทยแอร์เอเชีย แม้จะมีกำไรลดลงหากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังจากการเผชิญความท้าทายอย่างมาก จากการลดลงของนักท่องเที่ยวจีน ทำให้มีรายได้บัตรโดยสารลดลง แต่ทั้ง 2 สายการบิน ก็ปรับตัว และประคองตัวให้ยังสามารถทำกำไรได้
โดย “บางกอกแอร์เวย์ส” ยังคงมีกำไรจากการดำเนินงานเติบโต 0.6 % โดยได้รับแรงหนุนจากผู้โดยสารยุโรปที่เติบโตต่อเนื่อง จากการโค้ดแชร์กับสายการบินต่างๆ ทำให้รายได้ลดลงเพียง 0.1% และยังมีรายได้จากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสนามบิน ซึ่งเติบโตสูงถึง 11.2%
ขณะที่ “ไทยแอร์เอเชีย” มีกำไรลดลงถึง 77 % สาเหตุหลักมาจากจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศลดลง 15 % เหลือ 5.0 ล้านคน เนื่องจากสายการบินได้ลดปริมาณที่นั่งในตลาดที่ฟื้นตัวช้า โดยเฉพาะจีน ฮ่องกง และมาเก๊า โดยได้เลื่อนการรับมอบเครื่องบินใหม่ไปเป็นปีหน้า คงจำนวนฝูงบินไว้ที่ 62 ลำในปีนี้ (ปรับจากแผนเดิมที่ 66 ลำ)
ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับภาพรวมการท่องเที่ยว ทั้งสายการบินก็เน้นขยายเส้นทางไปยัง อินเดีย เวียดนาม โดยคาดว่าจะมีการเติบโตของที่นั่ง 10–20 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และตลาดเสรีภาพการบินที่ 5 ระหว่าง ลาว–เวียดนาม (ดอนเมือง–หลวงพระบาง–ฮานอย) ในเดือนธันวาคมนี้ เพื่อหนุนรายได้
  • บิ๊กธุรกิจโรงแรมย้ังไปได้ดี แม้นักท่องเที่ยวจีนหด
ด้านธุรกิจโรงแรมในตลท.มีกำไรรวมกัน ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ไม่ต่ำกว่า 12,000 ล้านบาท โดย บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ทำรายได้กว่า 121,664 ล้านบาท กำไรเติบโตก้าวกระโดดถึง 47 % ซึ่ง “ไมเนอร์” เป็นกลุ่มที่ทำกำไรสูงสุด ซึ่งเป็นการเติบโตของโรงแรมและธุรกิจอาหาร ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
โดยไมเนอร์ โฮเทลส์ มีกำไรสุทธิ เพิ่มขึ้น 63 % จากปีก่อนหน้า โดยได้รับแรงหนุนจากผลการดำเนินงานของโรงแรมที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะในยุโรปและมัลดีฟส์ รวมถึงกำไรจากการขายสินทรัพย์
ส่วนไมเนอร์ ฟู้ด มีกำไรสุทธิ เพิ่มขึ้น 26 % จากปีก่อนหน้า โดยมีแรงหนุนหลักจากการดำเนินงานในประเทศไทย และการปรับโครงสร้างความร่วมมือในบริษัท Art of Baking ซึ่งได้นำ Europastry ผู้ดำเนินธุรกิจเบเกอรี่อันดับต้นของโลกเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นเพิ่มเติม เพื่อเร่งขยายธุรกิจเบเกอรีในระดับภูมิภาค
ตามมาด้วยบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จํากัด (มหาชน) หรือ AWC ที่มีการเติบโตของรายได้เพิ่มขึ้นเฉียด 10% และกำไร 4,522 ล้านบาท เติบโต 13 % โดยได้แรงหนุนจากการเปิดตัว “Jurassic World: The Experience” ที่เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ซึ่งเป็นแลนด์มาร์กใหญ่ที่สุดครั้งแรกของโลกในเอเชีย
ความสำเร็จของโครงการนี้ทำให้ยอดจำหน่ายบัตรเข้าชมมากกว่า 200,000 ใบ ภายใน 3 เดือนแรก ส่งผลให้รายได้ค่าเช่าของโครงการเอเชียทีคเพิ่มขึ้น 26.3 % ดันรายได้ของกลุ่มธุรกิจศูนย์การค้าเติบโตขึ้นก้าวกระโดด และการรับรู้รายได้จากการเปิดโรงแรมใหม่
ขณะที่ “เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท” หรือ SHR ก็พลิกกลับมาทำกำไรสุทธิที่ 328.4 ล้านบาท จากการขาดทุนในปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินที่ลดลง (จากการจัดหาเงินกู้ใหม่) และผลตอบแทนที่สูงขึ้นของโรงแรมในประเทศไทย (RevPAR เติบโต 18.9%) หลังการปรับปรุง โรงแรม ทราย ลากูน่า ภูเก็ต
เช่นเดียวกับ “บมจ.วีรันดา รีสอร์ท” หรือ “VRANDA” มีการเติบโตของกำไรสุทธิสูงสุดในกลุ่มโรงแรมทั้งหมด โดยเติบโตถึง 17 % จากรายได้ของโรงแรมเติบโต 17% และคิดเป็น 95% ของรายได้รวมทั้งหมด โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของอัตราค่าห้องพักเฉลี่ย (ADR)
ส่วน “ดิ เอราวัณ กรุ๊ป” (ERW) ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการลดลงของนักท่องเที่ยวจีน เนื่องจากกลุ่มโรงแรมระดับ 5 ดาวถึงชั้นประหยัดมีลูกค้าต่างชาติเป็นหลักกว่า 90% ส่งผลให้รายได้รวมทรงตัว และ RevPAR ของกลุ่มโรงแรม 5 ดาวลดลง 11 % สวนทางกลับกลุ่มโรงแรมบัดเจ็ท (ฮ็อป อินน์) ยังคงเติบโตแข็งแกร่ง โดยมีรายได้เพิ่มขึ้น 18 % และ EBITDA เพิ่มขึ้น19 % จากลูกค้าเดินทางเพื่อธุรกิจในประเทศ
  • เที่ยวดีมีคืน หนุนท่องเที่ยวไตรมาส 4
สำหรับสถานการณ์ธุรกิจในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ ถือว่ามีแนวโน้มที่ดี เนื่องจากตรงกับช่วงไฮซีซัน เป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยแตะวันละราว 1 แสนคนแล้ว โดยเฉพาะตลาดยุโรป อเมริกา และ อินเดีย รวมถึงมาตรการต่างๆที่รัฐบาลอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ จะส่งผลดีโดยตรงต่อผู้ประกอบการในภาคบริการ
โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากมาตรการ “เที่ยวดีมีคืน 2568” ซึ่งเริ่มตั้งแต่ 29 ตุลาคม - 15 ธันวาคม 2568 โดยสามารถนำค่าใช้จ่ายจากการเข้าพักในโรงแรมและค่าอาหารมาลดหย่อนภาษีได้ 20,000 บาท โครงการ “คนละครึ่งพลัส” กระตุ้นการใช้จ่าย ที่จะช่วยสนับสนุนความต้องการเดินทางภายในประเทศอย่างมีนัยสำคัญ
ขณะเดียวกันกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวรายใหญ่ของไทย ยังคงมองการขยายธุรกิจต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น AWC ที่ยังโฟกัสการเร่งแปลงทรัพย์สินที่อยู่ระหว่างการพัฒนาให้เป็นทรัพย์สินดำเนินการ (Operating Asset) เพื่อสร้างกระแสเงินสดเพิ่มเติม บริษัทมีเป้าหมายที่จะขยายพอร์ตโฟลิโอให้มีขนาดเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวนับตั้งแต่ IPO ในปี 2562 และการเปิดตัวโครงการใหม่ที่จะเกิดขึ้น
อย่าง โรงแรม แฟร์มอนท์ แบงคอก สุขุมวิท ,โครงการลานนาทีค กาแล เฟส 1 จังหวัดเชียงใหม่ นอกจากนี้ไมเนอร์ ยังมีแผนการเสนอขาย ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงกลางปีหน้า ควบคู่กับการปรับโครงสร้างพอร์ตธุรกิจให้เหมาะสมยิ่งขึ้น จะเป็นแรงขับสำคัญในการผลักดันการเปลี่ยนผ่านของบริษัทไปสู่ โมเดลธุรกิจแบบ Asset-Light เพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทนต่อเงินลงทุน การขยายธุรกิจร้านอาหารผ่านรูปแบบแฟรนไชส์และนวัตกรรมร้านค้าใหม่
ในด้านของการบินไทย ก็มองโอกาสขยายการลงทุนธุรกิจศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน หรือ MRO บางกอกแอร์เวย์ส ล่าสุดก็ได้ลงทุนซื้อเครื่องบิน ATR 72-600 จำนวน 10-12 ลำ ที่จะทยอยรับมอบ เพื่อทดแทนฝูงบินเดิมและเพิ่มจำนวนเครื่องบินนั่นเอง
ทั้งหมดเป็นผลประกอบการของบิ๊กธุรกิจในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ และทิศทางในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งธุรกิจก็ยังคงมองโอกาสในการขยายลงทุนอย่างต่อเนื่อง
โฆษณา