25 พ.ย. เวลา 04:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

Peter Thiel จากเด็กชอบอ่านนิยาย สู่ชายผู้ให้เงินทุนหนุนหลัง ธุรกิจเปลี่ยนโลก ใน Silicon Valley

PayPal, Facebook, Palantir, SpaceX, Spotify และบริษัทเปลี่ยนโลกอื่น ๆ อีกมากมาย ล้วนมีจุดร่วมที่เหมือนกัน
ตรงที่มีชื่อของคุณ Peter Thiel เป็นผู้ก่อตั้ง หรือเป็นนักลงทุนรายแรก ๆ เสมอ
เรียกได้ว่า หากไม่มีคุณ Peter Thiel เราอาจจะไม่มีโอกาสได้ใช้งาน Facebook หรือ PayPal เลยก็ได้
เรื่องราวของธุรกิจเหล่านี้ ล้วนถูกพูดถึงอย่างมากในหน้าสื่ออยู่แล้ว แต่น้อยครั้งที่เราจะได้เห็นประวัติของคนที่ทรงอิทธิพลในวงการเทคโนโลยีของโลกอย่างคุณ Peter Thiel
1
ผู้มีสายตาที่เฉียบคม จนมองเห็นธุรกิจที่จะขึ้นมาเปลี่ยนโลกมากมาย ตั้งแต่ตอนที่บริษัทเหล่านี้ยังอยู่ในช่วงตั้งไข่ที่ไม่รู้ว่าธุรกิจจะไปรอดหรือร่วง
แล้วถ้าคุณอยากรู้ว่าเรื่องราวของชายคนนี้เป็นอย่างไร ?
MONEY LAB จะมาย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
รู้ไหมว่าจริง ๆ แล้วคุณ Peter Thiel ไม่ใช่คนอเมริกันมาตั้งแต่กำเนิด แต่เป็นผู้อพยพที่ย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่ในสหรัฐฯ
ย้อนกลับไปในปี 1967 ณ เมืองแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี เด็กชาย Peter Thiel ได้ลืมตาดูโลกขึ้น
แต่พอเด็กชาย Peter Thiel อายุได้ 1 ขวบ พ่อแม่ของเขาก็พาเขาย้ายไปอยู่ในสหรัฐฯ ที่เมืองคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ เนื่องจากพ่อของเขาได้งานเป็นวิศวกรเคมีที่เหมืองแห่งหนึ่งในเมืองนี้
หลังจากนั้นอีก 3 ปีต่อมา ครอบครัวของเด็กชาย Peter Thiel ก็ต้องย้ายที่อยู่กันใหม่อีกครั้ง โดยคราวนี้ต้องไปอาศัยอยู่ที่ประเทศแอฟริกาใต้
และที่แอฟริกาใต้นี่เองที่เด็กชาย Peter Thiel ต้องย้ายโรงเรียนประถมถึง 7 ครั้ง เพราะย้ายตามพ่อที่ต้องเปลี่ยนที่ทำงานอยู่บ่อยครั้ง
และระบบการศึกษาของแอฟริกาใต้นี้เอง ก็เป็นที่จุดประกายแนวคิด ที่จะนำทางชีวิตของเขาตราบจนถึงวันนี้
เพราะระบบโรงเรียนในแอฟริกาใต้ จะคล้ายคลึงกับระบบโรงเรียนในประเทศไทย ตรงที่มีกฎให้นักเรียนต้องปฏิบัติตามอย่างเข้มงวดมากมาย ทั้งการบังคับให้ใส่เครื่องแบบ และมีการลงโทษด้วยการตีมือ เมื่อเด็กทำผิด
เด็กชาย Peter Thiel จึงเริ่มตั้งคำถามกับระบบการปกครองที่เน้นควบคุมมากจนเกินไป จนทำให้แม้กระทั่งวันนี้ เขาก็เป็นคนที่สนับสนุนแนวคิดแบบปัจเจกนิยม รวมถึงเสรีภาพในการแสดงออกอยู่เสมอ
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่เขาต้องย้ายโรงเรียนบ่อย ทำให้เขากลายเป็นเด็กเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ขณะที่เด็กคนอื่นก็ไม่ค่อยคุยกับเขาเท่าไรนัก เพราะรู้ดีว่าครอบครัว Thiel ต้องย้ายที่อยู่บ่อย ๆ
ตรงนี้เองก็เป็นอีกจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของเขาเช่นกัน เพราะทำให้เขาได้ใช้เวลากับการอ่านนิยายวิทยาศาสตร์และนิยายแฟนตาซีอย่างเต็มที่
ซึ่งตรงนี้เองก็น่าจะทำให้เขามองเห็นความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ว่าธุรกิจที่เขาไปลงทุนนั้น แม้จะยังเล็ก แต่มีศักยภาพที่จะเปลี่ยนโลกได้มากแค่ไหนนั่นเอง
เมื่อเด็กชาย Peter Thiel อายุได้ 10 ขวบ เขาก็ได้กลับมาเรียนที่สหรัฐฯ อีกครั้ง คราวนี้เป็นการกลับมาอยู่อาศัยอย่างถาวรที่รัฐแคลิฟอร์เนีย
เมื่อเรียบจบจากสาขาปรัชญา ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เขาก็เข้าเรียนที่คณะนิติศาสตร์ ในมหาวิทยาลัยเดียวกันทันที
หลังเรียนจบคุณ Peter Thiel ก็เข้าไปทำงานในสำนักงานกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตลาดหลักทรัพย์ในวอลล์สตรีตชื่อ Sullivan & Cromwell
แต่ทำงานได้ไม่ถึงปี ก็ลาออกไปเป็นเทรดเดอร์ค่าเงินของ Credit Suisse
หลังจากโลดแล่นอยู่ในวงการการเงินที่วอลล์สตรีตได้ 3 ปี คุณ Peter Thiel ที่รู้สึกอิ่มตัว ก็ลาออกจากงาน แล้วเก็บกระเป๋ากลับบ้านที่แคลิฟอร์เนีย
เมื่อกลับมาถึงแคลิฟอร์เนีย คุณ Peter Thiel ก็รวบรวมเงินจากเพื่อนและครอบครัวเป็นจำนวนเงิน 32 ล้านบาท
เพื่อก่อตั้งกองทุน Venture Capital ที่ชื่อว่า Thiel Capital Management เพื่อลงทุนในธุรกิจสตาร์ตอัปใน Silicon Valley
โดยธุรกิจแรกที่เขาลงทุนด้วยเงิน 3 ล้านบาท กลับเจ๊งไม่เป็นท่า แต่ความล้มเหลวในครั้งนี้กลับนำมาสู่การได้เจอการลงทุนที่จะเปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล
นั่นก็คือ PayPal..
เพราะธุรกิจแรกที่เขาลงทุนแล้วเจ๊ง ก็คือธุรกิจปฏิทินออนไลน์ของเพื่อนเขาที่ชื่อว่าคุณ Nosek
ถึงอย่างนั้นเพื่อนของคุณ Nosek ก็แนะนำไอเดียการก่อตั้งธุรกิจซอฟต์แวร์เพื่อความปลอดภัยแทน
จากธุรกิจซอฟต์แวร์เพื่อความปลอดภัย ต่อมาบริษัทแห่งนี้ก็ต่อยอดมาทำธุรกิจบริการรับชำระเงินออนไลน์ PayPal จึงถือกำเนิดขึ้นมาในปี 1999
ต่อมาในปี 2000 ก็มีการควบรวมกันระหว่าง PayPal กับ X dot com แพลตฟอร์มให้บริการทางการเงินทางออนไลน์ของคุณ Elon Musk
จากนั้นในปี 2002 PayPal ก็เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น และไม่นานก็ถูกซื้อกิจการโดย eBay มีการประเมินกันว่าหุ้นที่คุณ Peter Thiel ถือในช่วงที่มีการถูกซื้อกิจการ มีมูลค่าประมาณ 1,800 ล้านบาท
1
กลุ่มผู้ก่อตั้ง PayPal จึงแยกย้ายกันออกไปตั้งธุรกิจสตาร์ตอัปใหม่ ๆ อีกครั้ง หรือบางคนก็กลายเป็นนักลงทุน VC คอยสนับสนุนเงินทุนให้ผู้ประกอบการหน้าใหม่
คนกลุ่มนี้จึงกลายมาเป็นผู้ที่มีอิทธิพลในวงการธุรกิจเทคโนโลยีใน Silicon Valley และถูกเรียกว่าเป็นกลุ่ม “PayPal Mafia”
ซึ่งคุณ Peter Thiel ก็แบ่งเงินที่ได้จากการขายหุ้นใน PayPal ออกเป็น 2 ก้อน ก้อนแรก 320 ล้านบาท ไปสร้างกองทุนเฮดจ์ฟันด์ของตัวเองชื่อ Clarium Capital
ส่วนเงินก้อนที่ 2 เอามาก่อตั้งบริษัทแห่งใหม่ที่ชื่อว่า Palantir Technologies
โดยเป็นแนวคิดที่ต่อยอดมาจากการนำเทคโนโลยีด้านความปลอดภัย และระบบตรวจจับการฉ้อโกงของ PayPal มาปรับใช้ในงานด้านความมั่นคง หน่วยข่าวกรอง และงานด้านการทหาร
ปัจจุบัน Palantir กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าบริษัทสูงถึง 10 ล้านล้านบาทแล้ว
หลังจากคุณ Peter Thiel ก่อตั้ง Palantir ได้ไม่นาน คุณ Peter Thiel ก็บังเอิญเจอกับเด็กนักศึกษามหาวิทยาลัยคนหนึ่ง ที่เริ่มต้นสร้างเว็บไซต์สังคมออนไลน์ขึ้นมาในหอพักของตัวเอง
เด็กคนนี้มีชื่อว่าคุณ Mark Zuckerberg..
คุณ Peter Thiel เห็นแววในตัวเด็กคนนี้ จึงเริ่มเป็นนักลงทุนรายแรกให้กับ Facebook (ปัจจุบันคือบริษัท Meta) ด้วยจำนวนเงินราว ๆ 15 ล้านบาท เพื่อแลกกับหุ้น 10.2%
นอกจากจะเป็นนักลงทุนแล้ว คุณ Peter Thiel ยังมีบทบาทสำคัญด้วยการเป็นหนึ่งในกรรมการบริษัทของ Facebook อีกด้วย
เขาได้ช่วยให้คำปรึกษาทางธุรกิจแก่คุณ Mark Zuckerberg และเป็นคนที่ผลักดันให้บริษัทสามารถปิดดีลระดมทุนรอบซีรีส์ D ได้ก่อนเกิดวิกฤติการเงินในปี 2008 ได้อย่างเฉียดฉิว
ก่อน Facebook จะสามารถเข้า IPO ได้สำเร็จในปี 2012 จากนั้นเขาก็ขายหุ้นส่วนใหญ่ใน Facebook ออกไปจนเกือบหมด พร้อมรับเงินไปมากกว่า 32,000 ล้านบาท คิดเป็นผลตอบแทนสูงถึง 2,000 เท่าเลยทีเดียว
หลังจากที่คุณ Peter Thiel เข้าลงทุนใน Facebook ได้ไม่นาน เขาก็เริ่มก่อตั้งกองทุน Venture Capital อีกแห่งหนึ่งชื่อว่า Founders Fund
ซึ่งกองทุนนี้ได้เข้าไปลงทุนในธุรกิจเกิดใหม่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Palantir, Spotify, Airbnb รวมไปถึง SpaceX ของคุณ Elon Musk ด้วย
จากการลงทุนที่ประสบความสำเร็จขนาดนี้ และมูลค่าของเหล่าธุรกิจเปลี่ยนโลกต่าง ๆ ที่เขาไปลงทุน ส่วนมากก็เติบโตขึ้นอย่างมาก จากเงินลงทุนที่เขาลงไป
ทำให้ปัจจุบันมีการประเมินจาก Bloomberg ว่าคุณ Peter Thiel มีความมั่งคั่งสุทธิอยู่ที่ประมาณ 770,000 ล้านบาท นับว่าเป็นคนที่รวยที่สุดอันดับ 101 ของโลก
จากเรื่องราวของคุณ Peter Thiel แสดงให้เราเห็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างความเป็นผู้ประกอบการ และสายตาอันแหลมคมในบทบาทของนักลงทุนของคุณ Peter Thiel ได้อย่างลงตัวพอดี
จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่คุณ Peter Thiel จะกลายมาเป็นผู้ทรงอิทธิพลในวงการธุรกิจเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ในยุคนี้
จากการเป็นคนที่คอยให้เงินทุนหนุนหลังเหล่าธุรกิจเปลี่ยนโลกใหม่ ๆ ตั้งแต่ยังไม่มีใครเชื่อมั่นในตัวพวกเขาเลย
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
หนึ่งในนิยายในดวงใจของคุณ Peter Thiel คือ The Lord of The Rings
ซึ่งในเรื่องมีลูกแก้ววิเศษที่ทำให้ผู้ใช้มองเห็นเหตุการณ์ในอดีตหรือที่เกิดขึ้นในระยะไกล ที่ชื่อว่า Palantir
ซึ่งเขาก็เอาชื่อของลูกแก้ววิเศษนี้ มาตั้งเป็นชื่อของบริษัท Palantir Technologies นั่นเอง..
 
#ลงทุน
#หลักการลงทุน
#PeterThiel
1
โฆษณา