Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
สารพันความรู้
•
ติดตาม
26 พ.ย. เวลา 01:00 • ไลฟ์สไตล์
หมอกประหลาดที่ปกป้องกองทัพอังกฤษ – Battle of Poitiers (ค.ศ. 1356)
ปริศนาทางลมฟ้าอากาศ ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ หรือกลยุทธ์ซ่อนเร้นแห่งสงครามร้อยปี?
บทนำ : เมื่อสงครามพบกับสิ่งเหนือธรรมชาติ
สงครามร้อยปี (Hundred Years’ War) คือหนึ่งในสงครามที่ยืดเยื้อและรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ยุโรป การปะทะกันระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศสครอบคลุมทั้งการสืบราชบัลลังก์ การแย่งพื้นที่ การเมือง และศักดิ์ศรีของราชวงศ์ ทั้งสองชาติต่อสู้กันทั้งบนที่ราบสูงปกคลุมด้วยหมอก ป่าทึบ ทุ่งองุ่น เมืองหิน และค่ายทหารบนภูเขาที่ปกคลุมด้วยลมหนาวแห่งยุคกลาง
ท่ามกลางสงครามอันโหดร้ายยาวนานกว่า 116 ปี มีหลายเหตุการณ์ที่กลายเป็นตำนาน เช่น ธนูยาวอังกฤษที่ฉีกเกราะเหล็ก ชัยชนะของกองกำลังที่น้อยกว่าอย่างไม่น่าเชื่อ และบุคคลพิเศษอย่างโจนออฟอาร์กที่เปลี่ยนกระแสของสงคราม
แต่ในจำนวนเหตุการณ์เหล่านั้น มีเรื่องหนึ่งที่น่าพิศวงที่สุด—
“หมอกประหลาดที่ปรากฏขึ้นในช่วงเวลาสำคัญของ Battle of Poitiers (ค.ศ. 1356)”
ซึ่งเอกสารร่วมสมัยทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสต่างบันทึกไว้ แม้ว่าความหมายและการตีความจะต่างกันโดยสิ้นเชิง
บางฝ่ายมองว่ามันคือ “หมอกของพระเจ้า”
บางฝ่ายมองว่าคือ “อาถรรพ์แห่งฝรั่งเศส”
บางนักประวัติศาสตร์มองว่าเป็น “ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ไม่อาจอธิบายได้”
หรือบางคนเชื่อว่าเป็น “ความจงใจของกองทัพอังกฤษที่ใช้ภูมิประเทศอย่างแยบยล”
บทความนี้จะพาผู้อ่านเข้าสู่ศึก Poitiers อย่างละเอียด และเจาะลึกปรากฏการณ์ลึกลับที่เกิดขึ้นในวันนั้น พร้อมการวิเคราะห์ทั้งทางประวัติศาสตร์ การทหาร และปรากฏการณ์ทางอากาศอย่างรอบด้าน รวมถึงผลลัพธ์ที่กำหนดชะตาสงครามร้อยปีในเวลาต่อมา
ส่วนที่ 1: ฉากหลังของสงคราม – ความตึงเครียดก่อนหมอกลอยขึ้น
ปี ค.ศ. 1356 คือช่วงกลางของสงครามร้อยปี อังกฤษภายใต้การนำของ “เจ้าชายดำ” (Edward, the Black Prince) ประสบความสำเร็จในการใช้ศึกฉกชิงไส้ (Chevauchée)—กลยุทธ์จู่โจมหนักที่ทำลายทุ่งนา เมือง และระบบเศรษฐกิจของฝรั่งเศส อังกฤษไม่ใช่ฝ่ายที่มีพลมากกว่า แต่เป็นฝ่ายที่มีความคล่องตัวสูงกว่า และมีทหารม้าพร้อมพลธนูยาวคุณภาพสูง
ในขณะที่ฝรั่งเศสภายใต้กษัตริย์จอห์นที่ 2 (King John II) กำลังรวบรวมกำลังทหารในระดับมหาศาลเพื่อบีบอังกฤษให้จนมุม ความมุ่งมั่นของพระองค์คือ “จับเจ้าชายดำให้ได้” เพื่อสร้างศักดิ์ศรีและจบสงครามในครั้งเดียว
กองกำลังทั้งสองฝ่าย
อังกฤษ: ประมาณ 6,000–7,000 นาย ส่วนใหญ่เป็นพลธนูยาว นักรบม้าหนัก และทหารราบอาวุธเบา
ฝรั่งเศส: เกินกว่า 15,000 นาย รวมอัศวินเกราะหนักจำนวนมาก ทหารรับจ้าง และกองกำลังจากขุนนางท้องถิ่นจำนวนมาก
บนกระดาษ ฝรั่งเศสเหนือกว่าแทบทุกด้าน
แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้คือ…ธรรมชาติจะไม่เข้าข้างพวกเขา
ส่วนที่ 2: เช้าวันแห่งหมอก – ปรากฏการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด
เช้าวันที่ 19 กันยายน ค.ศ. 1356 ท้องฟ้าฟรั่งเศสที่ปัวตีเยร์ยังคงเงียบสงบ ลมอ่อนพัดจากทิศใต้ และอากาศเย็นสบายตามแบบอากาศฤดูใบไม้ร่วงของยุโรปตะวันตก อังกฤษตั้งค่ายอยู่บริเวณเนินเล็ก ๆ ที่ถูกล้อมด้วยพุ่มไม้ กอหนาม และไร่องุ่น ซึ่งให้ความคุ้มครองโดยธรรมชาติ
แล้วสิ่งประหลาดก็เกิดขึ้น
ตาม The Chronicle of Jean Froissart ซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งข้อมูลร่วมสมัยสำคัญ ได้บันทึกว่า:
“หมอกขาวหนาทึบผุดขึ้นจากพื้นดินทางด้านกองทัพอังกฤษ คลุมพวกเขาไว้ราวกับม่านแห่งสวรรค์ แต่ทิ้งพื้นที่ของฝรั่งเศสให้โล่งแจ้งและสว่างไสวจากแสงเช้า”
หมอกนั้นไม่ได้ลอยมาจากแม่น้ำ
ไม่ได้ก่อตัวตามปกติ
แต่ “พวยขึ้นจากพื้น” แบบเฉียบพลัน เหมือนบางสิ่งปลดปล่อยพลังงานความชื้นใต้ดินออกมาในชั่วพริบตาเดียว
ผลลัพธ์คืออะไร?
ฝรั่งเศส มองไม่เห็นจำนวนคนอังกฤษแน่ชัด
ฝรั่งเศส เข้าใจผิดว่ากองทัพอังกฤษกำลังถอยหนี
อังกฤษ ซ่อนพลธนูยาวไว้ในพุ่มไม้ได้โดยสมบูรณ์
อังกฤษสามารถจัดทัพแบบรูปตัว V เพื่อดักโจมตี ได้โดยฝรั่งเศสไม่รู้ตัว
หมอกนี้กินเวลาเพียงช่วงสั้น ๆ แต่เพียงพอให้เกิดความอลหม่านและการประเมินผิดที่ร้ายแรงที่สุดในสมรภูมิยุคกลาง
ส่วนที่ 3: ฝรั่งเศสโจมตี – แต่โจมตีใส่ภาพลวงตา
เมื่อหมอกปกคลุม กษัตริย์จอห์นที่ 2 เชื่อว่าอังกฤษกำลังถอยและอ่อนกำลัง
ฝรั่งเศสซึ่งมีทหารเกราะหนักจำนวนมาก ตัดสินใจ “เปิดฉากบุกเต็มกำลัง”
การโจมตีที่ปราศจากข้อมูล
ในสงครามยุคกลาง การมองเห็นคือทุกอย่าง
การไม่เห็น คือความตาย
แต่ฝรั่งเศสก้าวเข้าสู่หมอกโดยไม่รู้ว่า:
ตำแหน่งพลธนูอังกฤษอยู่ตรงไหน
อังกฤษจัดทัพแบบไหน
เนินและพุ่มไม้หน้าแนวอังกฤษคือกับดัก
การแห่ของทหารม้าจะติดขัดทันทีที่เข้าไปในหมอก
เหมือนฝรั่งเศสกำลังวิ่งเข้ากำแพงที่มองไม่เห็น
ส่วนที่ 4: อังกฤษยิงจากเงามืด – เสียงหวีดของลูกธนูยาว
เมื่อทหารม้าฝรั่งเศสจำนวนมากวิ่งเข้าสู่ม่านหมอก ทัศนวิสัยลดลงอย่างรุนแรง
พวกเขาเริ่มไม่เห็นว่ามี “กอหนามและร่องดิน” อยู่ตรงหน้า
ม้าล้มกันเป็นแถบ
และเมื่อเข้าใกล้ระยะยิง…
ลูกธนูยาวอังกฤษก็พุ่งออกมาจากความมืด
เสียงหวีดแหลมของหัวธนูเหล็กที่เฉือนอากาศดังสะท้อนอยู่ในหมอก บ้างปักลงบนเกราะ บ้างเจาะทะลุช่องตามรอยต่อของชุดเกราะอัศวิน สิ่งเหล่านี้ทำให้แถวหน้าของฝรั่งเศสหยุดชะงักในทันที
หมอกทำให้ฝรั่งเศส:
มองไม่เห็นพลธนู
แยกไม่ออกว่ามีกำลังเท่าไร
ไม่สามารถจัดกระบวนแถวใหม่ได้
เสียงของทหารล้ม ม้าร้อง และโล่พัง ไม่สามารถบอกทิศทางได้
นี่คือฝันร้ายของทหารหนักยุคกลาง
พวกเขาถูกดักทำลายโดยกองกำลังที่ “ล่องหน” อยู่ในหมอก
ส่วนที่ 5: หมอกจางลง—แต่เป็นเวลาที่สายไปแล้ว
เมื่อหมอกเริ่มค่อย ๆ หายไป
ภาพที่ปรากฏต่อสายตาฝรั่งเศสคือ…
กองทัพอังกฤษในตำแหน่งที่เหนือกว่าอย่างชัดเจน
เจ้าชายดำได้จัดกองกำลังไว้ในตำแหน่งที่ควบคุมทิศทางการบุกของฝรั่งเศส
ทำให้ฝ่ายฝรั่งเศสถูกบังคับให้เคลื่อนเข้าสู่ช่องแคบที่ถูกยิงถล่มจากสองด้าน
การรวมตัวทหารจำนวนมากในพื้นที่แคบกลายเป็นหายนะ
ที่สุดแล้ว อังกฤษสามารถตีโต้กลับและล้อมกษัตริย์จอห์นที่ 2 ได้สำเร็จ
พระองค์ถูกจับเป็นเชลยศึก
และนี่กลายเป็นหนึ่งในความอัปยศที่สุดของฝรั่งเศสในสงครามร้อยปี
แต่คำถามยังคงอยู่…
หมอกนั้นคืออะไร?
ส่วนที่ 6: การตีความหมอกลึกลับ – 4 ทฤษฎีใหญ่
หมอกเช้าวัน Poitiers กลายเป็นตำนานในประวัติศาสตร์ยุโรป
นักวิชาการแบ่งการตีความออกเป็น 4 กลุ่มสำคัญ
ทฤษฎีที่ 1: ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่หายาก
นักอุตุนิยมวิทยาชี้ว่า
หมอกแบบ “พุ่งขึ้นจากพื้น” เกิดขึ้นได้หาก:
ความชื้นสะสมใต้ดินจำนวนมาก
อุณหภูมิเหนือพื้นดินลดลงอย่างเฉียบพลัน
พื้นดินบริเวณนั้นมีน้ำซึมจำนวนมาก เช่นใต้ไร่องุ่น
แต่รูปแบบหมอกที่ “ปกคลุมเฉพาะฝั่งอังกฤษ” โดยไม่ลามไปด้านอื่น เป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดา
นักวิชาการบางคนมองว่ามันอาจเป็นปรากฏการณ์เฉพาะพื้นที่ เช่น pocket fog
อย่างไรก็ตาม
ความตรงเวลาของมัน ยังคงทำให้หลายคนแคลงใจ
ทฤษฎีที่ 2: อาถรรพ์หรือปาฏิหาริย์
เอกสารศาสนายุคกลางตีความว่าเป็น:
หมอกแห่งพระเจ้า
หมอกปกป้องผู้ที่ถูกเลือก
หมอกแห่งโชคชะตาที่กั้นศัตรูออกไป
อังกฤษยึดเหตุการณ์นี้เป็น “สัญญาณว่าพระเจ้าเลือกพวกเขาให้ชนะสงคราม”
แม้ปัจจุบันจะมองเป็นเรื่องศรัทธามากกว่าวิทยาศาสตร์ แต่ก็เป็นความเชื่อที่มีผลต่อกำลังใจของทหารในยุคนั้น
ทฤษฎีที่ 3: อังกฤษสร้างความได้เปรียบโดยจงใจใช้ภูมิประเทศ
นักประวัติศาสตร์การทหารบางคนเสนอว่า:
พื้นดินหน้าแนวอังกฤษอาจเป็นพื้นที่ชื้นมากอยู่แล้ว
พลอังกฤษเคลื่อนทัพในยามเช้าที่เย็นจัด ทำให้เกิดฝ้าไอน้ำ
การจัดทัพทำให้ความชื้นรวมตัวในพื้นที่เดียว
แต่ยอมรับว่าทฤษฎีนี้อธิบายได้ไม่สมบูรณ์ เพราะหมอกเกิดขึ้น “เร็วและหนา” จนผิดธรรมชาติ
ทฤษฎีที่ 4: เรื่องเล่าที่ถูกเสริมมากเกินจริง
มีนักประวัติศาสตร์บางคนมองว่า:
หมอกอาจเกิดจริง แต่ความหนาอาจไม่ถึงขั้น “ซ่อนทั้งกองทัพ”
นักบันทึกศึกยุคกลางชอบเพิ่มสีสันทางศาสนา
การตีความเชิงปาฏิหาริย์เกิดขึ้นภายหลัง
อย่างไรก็ตาม เอกสารฝรั่งเศสก็พูดถึงหมอกนี้เช่นกัน
แม้จะตีความแตกต่าง
จึงยากที่จะปฏิเสธว่า “ไม่มีหมอกเกิดขึ้นเลย”
ส่วนที่ 7: ผลกระทบของหมอกต่อรูปแบบสงครามร้อยปี
หมอกที่ Poitiers ไม่ได้เป็นแค่เหตุการณ์เหนือธรรมชาติ
แต่เป็นจุดพลิกผันสงครามในระดับยุทธศาสตร์
1. อังกฤษพิสูจน์ว่าจำนวนน้อยไม่ใช่ปัญหา
ชัยชนะนี้ทำให้ฝรั่งเศสรับรู้ว่า
พลธนูยาวอังกฤษและการจัดทัพแบบป้องกันบนพื้นที่สูงสามารถชนะกองทัพใหญ่ได้
กลายเป็นแบบอย่างในยุทธศาสตร์ยุคกลางหลายศตวรรษต่อมา
2. กษัตริย์ฝรั่งเศสถูกจับ
นับเป็นเหตุการณ์ที่สั่นสะเทือนยุโรปที่สุดเหตุการณ์หนึ่ง
ค่าควักค่ายอมแลกตัวพระองค์มหาศาล ทำให้ฝรั่งเศสอ่อนแอยาวนาน
3. ความเชื่อใน “พลังเหนือธรรมชาติ” เพิ่มขึ้น
ทั้งสองฝ่ายเริ่มเชื่อในสัญญาณจากสวรรค์
ซึ่งมีผลต่อศึกในยุคของโจนออฟอาร์กล่วงหน้าอีกหลายสิบปี
ส่วนที่ 8: บทวิเคราะห์สุดท้าย – หมอกแห่ง Poitiers คืออะไรแน่?
แม้เวลาผ่านไปกว่า 650 ปี
“หมอกปกป้องอังกฤษ” ก็ยังเป็นปริศนาทางประวัติศาสตร์ที่ไม่มีคำตอบเดียว
เพราะมันอยู่ตรงรอยต่อระหว่างธรรมชาติ ศาสนา และสงคราม
สิ่งที่เรารู้แน่ ๆ คือ:
หมอกเกิดขึ้นจริง
เอกสารทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสยืนยันตรงกัน
หมอกเกิดเฉพาะฝั่งอังกฤษ
ฝรั่งเศสเสียเปรียบอย่างรุนแรงเพราะมัน
ผลลัพธ์ของศึกถูกกำหนดตั้งแต่วินาทีที่หมอกลอยขึ้น
สิ่งที่ยังไม่รู้คือ:
มันเกิดจากเหตุทางอากาศที่ไม่ธรรมดา
เกิดจากภูมิประเทศเฉพาะจุด
ถูกขยายความในเอกสารยุคกลาง
หรือเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติจริง ๆ
บทสรุป: หมอกที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์ยุโรป
ในสงครามยาวนานกว่า 100 ปีนี้
มีเพียงไม่กี่เหตุการณ์ที่ได้รับการกล่าวถึงในระดับ “เหนือธรรมชาติ”
หมอกแห่ง Poitiers คือหนึ่งในนั้น
มันเปลี่ยนวิถีสงคราม
เปลี่ยนดุลอำนาจยุโรป
และทำให้สงครามร้อยปียังคงน่าค้นหาจนถึงปัจจุบัน
ไม่ว่ามันจะเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติหรือปาฏิหาริย์
ความจริงไม่เปลี่ยนแปลงคือ—
มันคือหมอกที่กำหนดชะตาของกษัตริย์ กองทัพ และประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส–อังกฤษทั้งสองชาติ
เรื่องเล่า
ชีวิต
ความรู้รอบตัว
บันทึก
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย