Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
“วันละเรื่องสองเรื่อง”
•
ติดตาม
เมื่อวาน เวลา 03:50 • ข่าว
🌊 เมื่อ “คำเตือน” ถูกตีตราว่าเป็น Fake News
บทเรียนราคาแพงจากน้ำท่วมหาดใหญ่ และความล้มเหลวของระบบเตือนภัยไทย
ทำไมข้อมูลจากนักอุตุนิยมวิทยาอิสระแม่นยำกว่า “รัฐ”? และความเสี่ยงเชิงนโยบายที่อันตรายกว่าน้ำท่วม
⸻
💥 เมื่อ “อย่าตื่นตระหนก” กลายเป็นจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรม
เหตุการณ์ฝนตกหนักที่ถล่มจังหวัดสงขลา โดยเฉพาะอำเภอหาดใหญ่ พื้นที่ต้นแบบที่เคยผ่านทั้งน้ำท่วมปี 2543 และปี 2553 ได้ฉายภาพซ้ำถึงจุดอ่อนเชิงระบบของการบริหารความเสี่ยงภัยพิบัติในไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หลายชุมชนประสบเหตุการณ์ “น้ำมาเร็วและแรงที่สุดในรอบหลายปี” จนประชาชนจำนวนมากไม่สามารถเตรียมการรับมือได้ทัน แม้ว่าก่อนหน้านั้นจะมีคำเตือนจากนักอุตุนิยมวิทยาอิสระและผู้ติดตามข้อมูลอากาศระดับมืออาชีพจำนวนมากที่แจ้งเตือนอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากการวิเคราะห์โมเดลสภาพอากาศโลก เช่น ECMWF, GFS, และข้อมูลเรดาร์สะสมฝน (Accumulated Rainfall Radar)
อย่างไรก็ตาม หน่วยงานรัฐกลับเลือกสื่อสารในทางตรงข้าม โดยประกาศว่าเป็น ข่าวลือ หรือ Fake News พร้อมย้ำให้ประชาชน "อย่าตื่นตระหนก" และ "รอฟังประกาศทางการ" ทำให้ประชาชนจำนวนมากชะล่าใจและไม่ได้เตรียมการใดๆ ไว้ล่วงหน้า
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นตามมานั้นหนักหน่วง?
* บ้านเรือนจำนวนมากไม่มีเวลาเคลื่อนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูง
* ครอบครัวที่มีผู้สูงอายุ เด็กเล็ก หรือผู้ป่วยติดเตียง ไม่สามารถอพยพได้ทัน
* ถนนสายหลักถูกตัดขาดภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
* โรงเรียนและสถานพยาบาลบางแห่งต้องเร่งอพยพในสถานการณ์คับขัน เป็นต้น
ปรากฏการณ์นี้ตอกย้ำ “ช่องว่างร้ายแรง” ระหว่างข้อมูลที่มีอยู่จริงในโลกออนไลน์ และข้อมูลที่ถูกประกาศโดยระบบราชการที่ล่าช้าและไม่เท่าทันสภาพอากาศสุดขั้ว (Extreme Weather)
⸻
🏛️ เหตุใดรัฐไทยจึงล้มเหลว เมื่อเทียบกับข้อมูลจากนักวิชาการอิสระ?
นี่ไม่ใช่เหตุการณ์ครั้งแรก และจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย หากไม่แก้โครงสร้างปัญหา 3 ประการนี้อย่างจริงจัง
1) กับดัก Don’t Panic: วัฒนธรรมที่กลัวผิด มากกว่ากลัวภัยพิบัติ
* วัฒนธรรม “อย่าทำให้คนแตกตื่น” กลายเป็นชุดความคิดที่ฝังลึกในระบบราชการไทยจนทำให้การเตือนภัยล่าช้าเกินไป
* หน่วยงานรัฐกังวลกับการออกคำเตือนผิด (False Positive) เพราะกลัวถูกต่อว่า กลัวถูกตรวจสอบ หรือกลัวถูกมองว่า “ทำให้คนตระหนก” มากกว่าการมองประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก
* แต่ในโลกของภัยพิบัติ ความผิดพลาดที่อันตรายกว่าไม่ใช่ เตือนเกินไป แต่คือ เตือนไม่ทัน (False Negative)
* เพราะเมื่อถึงเวลาที่น้ำหลากจริง ความล่าช้าเพียง 3–6 ชั่วโมงอาจหมายถึงความเสียหายที่วัดค่าไม่ได้
2) การผูกขาดความจริง (Monopoly of Truth)
* ในยุคข้อมูลเปิด (Open Data) แหล่งข้อมูลระดับโลกพัฒนาแบบก้าวกระโดดและเข้าถึงง่ายกว่าเดิมมาก แต่หลายหน่วยงานรัฐยังคงเชื่อว่า "ข้อมูลที่ถูกต้องต้องมาจากภาครัฐเท่านั้น" ซึ่งสะท้อน mindset ที่ไม่สอดคล้องกับยุคสมัย
* รัฐมักเลือกที่จะ “Discredit” ข้อมูลภายนอกด้วยคำว่า Fake News แทนที่จะตั้งคำถามว่า “ข้อมูลนี้มีโอกาสเป็นจริงแค่ไหน?” หรือ “ควรเตรียมตัวเพื่อลดความเสี่ยงหรือไม่?”
* การปฏิเสธข้อมูลที่แตกต่างจึงไม่ใช่แค่ปัญหาด้านการสื่อสาร แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างของความคิดที่ไม่เปิดรับข้อมูลหลายมุมมอง
3) ระบบข้อมูลที่ไม่เชื่อมโยง (Lack of Data Integration)
* แม้ว่าปัจจุบันหน่วยงานรัฐหลายแห่งมีอุปกรณ์ตรวจวัดสภาพอากาศ แต่ข้อมูลกลับกระจัดกระจาย ไม่ถูกเชื่อมโยง หรือไม่ถูกส่งต่อเพื่อใช้ในการตัดสินใจทันที
* ประชาชนและภาคเอกชนกลับสามารถเข้าถึงโมเดลและเรดาร์แบบเรียลไทม์ได้รวดเร็วกว่า เพราะเครื่องมือสมัยใหม่มีราคาที่เข้าถึงง่ายกว่าแต่ให้ความแม่นยำสูงขึ้น
* เมื่อข้อมูลล่าช้า การตัดสินใจก็ล่าช้าตาม และในโลกของภัยพิบัติ “ความล่าช้าเพียงเล็กน้อย” อาจหมายถึง “ความเสียหายที่ใหญ่หลวง”
⸻
🧭 จาก “รอประกาศ” สู่ “เตรียมรับมือ”: โมเดลบริหารความเสี่ยงยุคใหม่ที่รัฐต้องนำไปใช้จริง
โลกยุค Climate Change ทำให้เหตุการณ์ฝนตกหนัก น้ำท่วมฉับพลัน และภัยพิบัติสุดขั้วเกิดบ่อยขึ้นและรุนแรงขึ้น การรอฟังประกาศเพียงอย่างเดียวเป็นความเสี่ยงระดับประเทศ ไม่ใช่ความระมัดระวังอย่างที่หลายฝ่ายเข้าใจ
✅ สำหรับภาครัฐ: ถึงเวลาปรับโครงสร้างการเตือนภัย
* เปิดข้อมูล (Open Data) อย่างแท้จริง ให้ข้อมูลไหลเข้าจากหลายแหล่ง ไม่จำกัดเฉพาะภาครัฐเท่านั้น
* สร้าง War Room แบบ Multi-Stakeholder โดยมีนักอุตุนิยมวิทยาอิสระ เอกชน มหาวิทยาลัย และภาคประชาชนร่วมกัน
* กำหนด KPI ใหม่: จาก “รักษาความสงบ” → “เตือนเร็ว เตือนแม่น และเตือนให้คนเตรียมพร้อมได้ทัน”
* เตรียม Worst-Case Scenario เสมอ เพราะการเตรียมตัวเกินไป 1 ขั้น ดีกว่าขาดไป 1 ขั้นเสมอ
* ลงทุนในระบบข้อมูลแบบเชื่อมโยง (Integrated Data Infrastructure) ที่อัปเดตแบบเรียลไทม์
✅ สำหรับประชาชน: ยุคที่ต้องมี “ระบบเตือนภัยส่วนตัว”
* ติดตามหลายแหล่งข้อมูล ไม่อิงประกาศเพียงแหล่งเดียว
* ใช้เครื่องมือพยากรณ์ยุคใหม่ เช่น Windy, Ventusky, Radar Thai, หรือข้อมูลจาก NOAA
* ตรวจสอบสัญญาณน้ำหลากแบบเรียลไทม์ จากกลุ่มภาคประชาสังคมหรือเพจที่วิเคราะห์ข้อมูลอย่างมืออาชีพ
* มีแผนอพยพล่วงหน้า โดยเฉพาะบ้านที่มีผู้สูงอายุ เด็กเล็ก หรือสัตว์เลี้ยง
* เตรียมกระเป๋าฉุกเฉิน (Go Bag) ที่ประกอบด้วยยา ไฟฉาย เอกสารสำคัญ และอุปกรณ์จำเป็น
⸻
✨ ดังนั้น ความเสียหายที่ร้ายแรงที่สุด ไม่ใช่น้ำ…แต่คือความเชื่อมั่นที่หายไป
* เมื่อคำเตือนที่มีข้อมูลรองรับถูกตราหน้าว่าเป็น Fake News แต่สุดท้ายภัยพิบัติเกิดขึ้นจริง นั่นไม่ใช่แค่ความผิดพลาดของระบบเท่านั้น แต่คือ การล้มละลายทางความน่าเชื่อถือ (Credibility Bankruptcy) ของหน่วยงานรัฐในสายตาประชาชน
* และในวิกฤตครั้งถัดไป ประชาชนอาจลังเล แม้มีประกาศเตือนที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นความเสี่ยงเชิงระบบที่อันตรายกว่าน้ำท่วมหลายเท่า เพราะสังคมที่ไม่ไว้ใจกันคือสังคมที่รับมือวิกฤตไม่ได้
* เราต้องเลิกมองว่า “คำเตือน” คือ “การสร้างความตื่นตระหนก” และต้องเริ่มมองว่า ข้อมูล = โอกาสในการรอดชีวิต
* เมื่อทุกอย่างพังทลายลงภายในไม่กี่ชั่วโมง สิ่งที่ถูกพัดพาไปพร้อมสายน้ำ อาจไม่ใช่แค่ทรัพย์สิน แต่คือ “ความไว้วางใจ” ที่สร้างใหม่ได้ยากที่สุด
#วันละเรื่องสองเรื่อง #น้ำท่วมหาดใหญ่ #อุทกภัย
ภัยพิบัติ
น้ำท่วม
ข่าว
บันทึก
1
1
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย