25 พ.ย. เวลา 09:16 • ความคิดเห็น
1. การโกหกคือการปิดบัง "เรื่องจริง" ซึ่งเป็นคนละความหมายกับคำว่า "ความจริง" และการปิดบังเรื่องจริง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ผู้ที่รับสารจะต้องประกอบด้วย "สติ และปัญญาในการพิจารณาสารที่ได้รับ" เพราะเราทุกคน ไม่พ้นจะมีตัณหาอุปาทานเป็นที่ตั้ง อาทิเช่น เพราะเป็นพ่อแม่บังเกิดเกล้า เพราะเป็นพี่น้อง เป็นญาติ เป็นเพื่อนสนิท หรือแม้แต่ เพราะเป็นแพทย์ หรือจบ PhD หรือเป็นนักธุรกิจมีชื่อเสียง เพราะสงสาร เพราะเวทนา เพราะอยากเป็นคนดีย์ etc.
2. การชักชวนลงทุน ผู้ร่วมลงทุนควรตระหนักเรื่องความเสี่ยงจากการลงทุน นี้ก็คือ ต้องประกอบด้วย "สติและปัญญาในการตัดสินใจ" ได้กำไรก็ดีไป หากขาดทุนก็ติติงก่นด่า อย่างนี้ ก็ควรให้เป็นเรื่องของคนร่วมทำธุรกิจ จะด่าทอ หรืออันฟอล สังคมคงไม่ได้ประโยชน์อะไรจากเรื่องราวของ "แก๊งค์นางฟ้าสวยและรวยมาก"
3. การหยิบยืมเงิน มี 2 กรณี คือ ไม่มีการคิดดอกเบี้ย ใช้เพียงมธุรสวาจา ว่าขอเวลา 3-4 วัน จะรีบนำมาคืน ซึ่งหากสัญญาทางวาจาถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด ผู้ให้ยืม ควรวางอารมณ์ทางธรรมให้เป็น "ทานมัย" และวางอารมณ์ทางโลก ให้เป็นการ "ตัดหนี้สูญทางบัญชี" ไว้ก่อน และนำประสบการณ์ดังกล่าว มาเป็น "บทเรียน" สำหรับการดำเนินชีวิตต่อไป
กรณีมีการคิดดอกเบี้ย หากเกินจากที่กฎหมายกำหนด ส่วนที่เกินคือความเสี่ยงมหาศาล ที่ผู้ให้ยืมต้องไม่ทั้งโลภและทั้งโง่ ต้องใช้ "สติและปัญญา" ถามตัวเองว่า เรานี่เอ๋ย ไม่ใช่คนดีย์อะไรเลย เพราะโลภจากการขูดรีด ส่วนที่คนที่ยืมและยอมให้ดอกเบี้ยมาก เท่ากับว่า "เป็นผู้ที่มีปัญหาทางการเงินขั้นรุนแรง" ต้องไม่ลิมว่า การกู้เงินโดยมีดอกเบี้ย ก็คือการค้าเงินตราอย่างหนึ่ง ไม่ควรเรียกว่า "เป็นบุญเป็นคุณ"
ดังนั้น จะโกหกก่อนหรือหลัง
จึงไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไรเลย
ที่สำคัญสุด มันคือชุดความคิด และสติปัญญา
และตัณหาอุปทาน ของผู้ที่ยอมให้เงิน
ไม่ว่าจะจำนวนเท่าใด
นมัสเต
โฆษณา