ในปี 1994 Reza Raji อธิบายแนวคิดใน IEEE Spectrum ว่า "การเคลื่อนของ Packet ข้อมูลขนาดเล็กไปยัง Node ชุดใหญ่เพื่อรวมกันและทำให้ทุกอย่างทำงานได้โดยอัตโนมัติตั้งแต่เครื่องใช้ในบ้านไปจนถึงภายในโรงงานทั้งโรงงาน" ระหว่างปี 1993 และ 1997 บริษัทหลายแห่งได้เสนอโซลูชันเช่น Microsoft's at Work หรือ Novell's NEST โซลูชั่นเหล่านี้ได้รับแรงผลักดันเมื่อ Bill Joy นำเสนอเรื่องการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์กับอุปกรณ์เป็นส่วนหนึ่งของกรอบ "Six Webs" ของเขาซึ่งนำเสนอใน World Economic Forum ที่ดาวอสในปี 1999
คำว่า "Internet of Things" ได้รับการประกาศขึ้นโดย Kevin Ashton จาก Procter & Gamble ซึ่งต่อมาเป็น Auto-ID Center ของ MIT ในปี 1999 แม้ว่าเขาจะชอบวลี "Internet for Things" มากกว่าก็ตาม ในตอนนั้นเขามองว่าการระบุตัวตนด้วยคลื่นความถี่วิทยุ (Radio Frequency Identification) หรือ RFID มีความสำคัญต่ออินเทอร์เน็ตของสิ่งต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้คอมพิวเตอร์สามารถจัดการทุกๆสิ่งได้
Internet of Things ทำงานได้ตรงตามวิสัยทัศน์นี้ ออบเจ็กต์อัจฉริยะซึ่งเป็นส่วนประกอบพื้นฐานของ Internet of Things เป็นเพียงชื่อหนึ่งของระบบฝังตัวที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต มีเทคโนโลยีอื่นที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันที่เห็นได้ง่ายคือเทคโนโลยี RFID ซึ่งเป็นส่วนขยายของบาร์โค้ดออปติคอลที่มีใช้งานกันอย่างแพร่หลายและพบได้ในผลิตภัณฑ์ที่เห็นเป็นปกติอยู่ทุกวันจำนวนมาก
ในความหมายที่กว้างที่สุดคำว่า IoT ครอบคลุมทุกสิ่งที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต แต่มีการใช้เพื่อกำหนดวัตถุที่สามารถสื่อสารกันได้และมีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ "พูดง่ายๆคือ Internet of Things ประกอบด้วยอุปกรณ์ตั้งแต่เซ็นเซอร์ธรรมดาไปจนถึงสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์ที่สวมใส่ได้เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน" Matthew Evans หัวหน้าโปรแกรม IoT ของ TECHUK กล่าว
"คุณภาพและขอบเขตของข้อมูลใน Internet of Things ทำให้เปิดโอกาสสำหรับการโต้ตอบกับอุปกรณ์ตามบริบทและตอบสนองได้มากขึ้น เพื่อสร้างศักยภาพในการเปลี่ยนแปลง" Gorski กล่าวต่อ "มันไม่หยุดอยู่แค่บนหน้าจอ"