26 พ.ย. เวลา 03:36 • นิยาย เรื่องสั้น

ความรักของคนแก่

ตอนที่เรากำลังหาพลอตนิยายมาเขียนฉันได้สังเกตเห็นคนแก่หลายๆ คนที่อยู่เดียว บางทีก็สงสัยว่าทำไมเขาถึงอยู่คนเดียวล่ะ ครอบครัวไปไหน ทำไมเขาถึงออกมาอยู่โดดเดี่ยวแบบนี้ แล้วพอคิดไปคิดมาก็ย้อนนึกกถึงตัวเอง ว่าถ้าหากเราแก่ตัวไปแล้วคนที่เรารักค่อยๆ ตายหายไปทีละคนล่ะ
อนาคตเราจะเป็นแบบนั้นมั้ย นึกไปนึกมาก็กลัวแฮะ เราเลยหันไปมองข้างๆ ตอนนี้พร้อมกับคิดว่า 'ถ้าแฟนเราตายจากไปก่อนแล้วเราจะอยู่ยังไง' แล้วความกลัวพวกนี้ก็ค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้นมา คิดวิตกกังวลจนนอนไม่ได้ กลัวนั่นกลัวนี่ไปหมด จนสุดท้ายเลยหาที่ระบายด้วยนิยายเรื่องนี้นี่แหละ
เราได้เขียนนิยายเรื่องนี้ขึ้นมา และได้แรงบันดาลใจจากโฆษณาของประกันภัยอันหนึ่งด้วยแต่จำไม่ได้ว่าประกันภัยอะไร ลองอ่านดูนะ ไม่รู้มันโอเคมั้ย แต่ก็อยากให้ลองอ่านดู
“ใครน่ะ”
“ฉันไง บุญน่ะ” ดวงตาที่เริ่มพร่ามัวของหญิงชราหรี่ลงมองชายตรงหน้าอย่างพินิจ “บุญไหนล่ะ”
“บุญไง แฟนเก่าแกสมัยเรียนน่ะ”
“ฉันเคยมีแฟนด้วยรึ”
“เฮ้อ…ช่างเถอะ เอาเป็นว่าฉันมารับแกไปเที่ยวน่ะ จะไปมั้ย”
“เที่ยวไหน”
“เอาน่า ไปๆ ไปแต่งตัวไป”
ประโยคซ้ำ ๆ ที่ลูกหลานได้ยินอยู่แทบทุกเช้า เสียงคุยหยอกกันระหว่าง ตาบุญกับยายฝาย คุณยายที่ปีหน้าจะอายุครบเก้าสิบแล้ว เป็นหญิงชราใกล้ฝั่ง ที่ไม่มีใครรู้เลยว่าวันใดเธอจะจากไปอย่างเงียบงัน
ยายฝาย บุญประเสริฐ อายุ 89 ปี อดีตครูสอนคณิตศาสตร์ผู้เคร่งครัด แต่บัดนี้ร่างกายโรยรา ความทรงจำเริ่มเลือน เธอป่วยด้วยภาวะสมองเสื่อมและความดันต่ำ จำแม้กระทั่งชื่อตัวเองไม่ได้ ทว่าท่ามกลางความหลงลืมเหล่านั้น เธอยังมีครอบครัวที่ไม่เคยทอดทิ้ง คอยดูแลอย่างใกล้ชิดทุกวัน
ต่างจากตาบุญที่ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว ไม่มีญาติ ไม่มีลูกหลาน พี่น้องจากไปหมดแล้ว ชายชราผู้นี้อยู่ได้ด้วยแรงของตัวเองมาตลอดชีวิต
เพราะเหตุใดน่ะหรือ… ก็เพราะตาบุญยังรักยายฝายอยู่ รักอย่างเงียบ ๆ ยาวนานจนไม่อาจเปิดใจให้ใครอื่นได้อีก และแม้วันนั้นจะต้องแยกจากกันเพราะการคลุมถุงชนตามประเพณีเก่าแก่ แต่หัวใจของเขาก็ยังคงหยุดไว้ที่หญิงคนเดิมไม่เคยเปลี่ยน
“จะพาฉันไปไหนเรอะ” ยายฝายตะโกนถามฝ่ากระแสลมที่ตีเข้าหน้า ขณะนั่งอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างเก่า ๆ ของตาบุญ ชายชราหันมาตอบทั้งที่ยังไม่ละมือจากคันเร่ง “ไปเที่ยว”
“แล้วแกเป็นใครน่ะ”
“บุญไง แฟนเก่าแกน่ะ”
“หรอ”
รถซาเล้งคันเก่าค่อย ๆ เคลื่อนเข้ามาจอดในสวนสาธารณะแห่งหนึ่งไม่ไกลจากบ้านของยายฝาย ตาบุญดับเครื่อง ก่อนจะลงจากรถอย่างช้า ๆ แล้วเอื้อมมือเหี่ยวย่นไปตรงหน้าเธอ
“อะไร”
“ลุกสิ จะนั่งอยู่อย่างนั้นรึไง” ยายฝายมองมือเต็มไปด้วยรอยแผลของชายชราตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมือของตนไปวางทาบ มือทั้งสองแตะกันอย่างแผ่วเบา มือที่เคยอบอุ่นในวันวาน บัดนี้สั่นเทาและเย็นเฉียบ
ทั้งคู่เดินเคียงกันเข้าไปในสวนสาธารณะ ยายฝายกวาดตามองรอบ ๆ อย่างงงงันกับภาพตรงหน้า ต้นไม้ที่ผลัดใบ บึงน้ำเงียบสงบ เสียงเด็กหัวเราะแว่ว ๆ
“ฝายมานั่งนี่” ตาบุญดันตัวยายฝายให้นั่งลงบนชิงช้า ก่อนจะเดินอ้อมไปด้านหลัง มือเหี่ยวย่นจับโซ่เหล็กแล้วค่อย ๆ ไกวให้แกอย่างแผ่วเบา
“พามาที่นี่ทำไมรึ”
“พามาย้อนความหลังไง” ยายฝายขมวดคิ้ว หันกลับไปมองตาแก่ด้านหลัง “ความหลังอะไร แล้วแกเป็นใครเนี่ย พาฉันมาที่นี่ทำไม”
ตาบุญเงียบไปครู่หนึ่ง มองหญิงชราตรงหน้าก่อนถอนหายใจเบา ๆ “ฉันบุญไง แฟนเก่าแกสมัยเรียนน่ะ แล้วก็ที่พามาที่นี่ก็เพราะแก้เคยบอกว่าชอบไง เลยพามารื้อฟื้น”
“ฉันจำไม่ได้หรอก จำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ขนาดชื่อตัวเองยังจำไม่ได้เลย” สายตาอันว่างเปล่าของยายฝายทอดไปยังผู้คนที่เดินผ่านไปมา เหมือนมองเห็นโลกที่เธอเคยรู้จักแต่กลับไม่เหลือความทรงจำใดหลงเหลืออยู่
“แล้วยังไงล่ะ” ยายฝายเอ่ยขึ้นพลางหันกลับมามองชายชราด้านหลัง “ต่อให้แกจะลืมฉันสักกี่ครั้ง ฉันก็จะทำแบบเดิมอยู่ จะคอยพาแกไปเเที่ยวในที่ที่เราเคยไปสมัยก่อน ต่อให้แกจะจำไม่ได้เลยก็ตามที”
“ไม่เหนื่อยหรอ” ตาบุญยกยิ้มบาง ๆ มองหญิงชราตรงหน้าอย่างอ่อนโยน “ถ้าเหนื่อยฉันคงไม่ทำมันหรอก”
“แม่ นี่นุ๊ก ลูกพี่สันต์”
“สวัสดีค่ะคุณย่า” ยายฝายละสายตาจากโทรทัศน์ หันมองเด็กสาววัยราวสิบสี่สิบห้าปีที่กำลังยิ้มแป้นอยู่ตรงหน้า ดวงตาใสแป๋วคู่นั้นมองยายอย่างเต็มไปด้วยความน่าเอ็นดู
“ใครน่ะ”​ คำถามสั้น ๆ ของยายทำเอานุ๊กหุบยิ้มแทบจะทันที “เอ่อ… หนูลูกพ่อสันต์ค่ะ”
“ใครคือสันต์”
“พี่ของส้มไงคะแม่ ลูกชายคนโตน่ะ”
“แล้วแกล่ะเป็นใคร” ส้ม ลูกสาวคนรอง ถอนหายใจออกมาเบา ๆ มันเป็นแบบนี้อีกแล้ว เธอรู้ดีว่าแม่ความจำเสื่อม แต่ถึงจะรู้ก็ยังอดหวังไม่ได้ว่าสักวันแม่อาจจะจำลูกหลานได้บ้าง แม้ความหวังมันมีแค่น้อยนิดก็ตามที
“ฉันว่าให้แม่ไปอยู่ศูนย์พักพิงเถอะ” มือที่กำลังปัดกวาดพื้นของส้มหยุดชะงักทันที ก่อนจะหันไปมองพี่ชายที่กำลังนั่งทำงานอยู่บนโต๊ะเล็กหน้าบ้าน
“พี่พูดว่าไงนะ”
“ฉันบอกว่าให้แม่ไปอยู่ศูนย์พักพิงไง คอยดูแลแบบนี้มันเหนื่อยนะ” ประโยคของพี่ชายทำเอาส้มถึงกับปล่อยไม้กวาดลงกับพื้น
“นี่พี่พูดอะไรออกมารู้ตัวบ้างมั้ย นั่นแม่เรานะ แม่ที่คลอดเราออกจากท้องนะ จะปล่อยแกให้ไปอยู่ในที่ที่ไม่รู้จักใครได้ยังไง”
“แล้วทำอย่างแม่รู้จักเรางั้นแหละ แม่ความจำเสื่อมแล้วนะส้ม อีกอย่างแกก็ป่วยออดๆ แอดๆ จะไปวันไหนก็ไม่รู้”
“พี่พูดเหมือนไม่อยากดูแลแม่อย่างงั้นแหละ” เสียงของส้มสั่นเครือ ทั้งโกรธทั้งน้อยใจ ดวงตาแดงก่ำอยากจะร้องไห้ออกมา
“ไม่ใช่ไม่อยากดูแล แต่มันเหนื่อย...เข้าใจมั้ย”
“ฉันเป็นคนดูแลแม่ พาแกไปหาหมอ เช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้แก หาข้าวหาน้ำให้แก คนบ่นมันต้องเป็นฉันสิไม่ใช่พี่!” น้ำเสียงของส้มเริ่มสั่นด้วยความกลั้นใจ
“แต่ฉันเป็นคนหาเงินส่งให้แกนะ” คำพูดนั้นทำให้ส้มชะงัก เหมือนถูกดึงสติกลับมาชั่วขณะ ใช่ ด้วยความที่สันต์เป็นพี่ใหญ่ของบ้านและผู้ชายเพียงคนเดียวบ้าน เขาเลยอาสาที่จะออกค่าใชจ่ายในการรักษาแม่ให้ทั้งหมด แม้แม่จะมีประกันสังคมในการรักษาพยาบาลอยู่แล้วแต่ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ มันก็ยังมากอยู่
“ก็ได้ ถ้าพี่บอกแบบนั้นงั้นต่อไปนี้พี่ก็ไม่ต้องเงินมาแล้ว จากนี้ไปฉันจะหาเงินมาดูแลแม่เอง” ในเมื่อพี่ชายไม่อยากดูแลแม่เธอก็จะทำเอง แม้ว่ามันจะเหนื่อยเอามาก ๆ แต่เธอก็ไม่อยากทิ้งแม่หรือให้คนอื่นมาดูแลแทน
“แกจะทำยังไงห๊ะ งานการก็ไม่มี ไหนต้องดูแลแม่อีก แกจะทำอะไรได้” ประโยคของพี่ชายพูดราวกับกำลังดูถูกเธอ มันก็จริงอย่างที่เขาพูด ส้มต้องดูแลแม่ และยิ่งยายฝายป่วยเป็นภาวะสมองเสื่อมทำให้ต้องลูแลอย่างใกล้ชิด แต่ว่านะ…
“ฉันดูแม่ได้ก็แล้วกัน”
“ส้ม ทำไมดื้ออย่างนี้ห๊ะ”
“แล้วพี่ล่ะเป็นบ้าอะไร ไม่อยากโอนเงินให้ก็บอกกันมาดีๆ ไม่ใช่เอะอะไล่แม่ไปอยู่ศูนย์พักพิงอย่างเดียว”
“ถ้าลำบากกันมากฉันออกไปอยู่ข้างนอกก็ได้นะ” เสียงแหบยานจากในตัวบ้านให้ทั้งส้มและสันต์ต้องหันไปมอง สายตาเรียบเฉยมองทั้งคู่ และข้าง ๆ แกยังมีนุ๊กยืนอยู่ด้วย
“คุณย่ายืนฟังตั้งแต่แรกแล้วค่ะ”
“แม่”
“ขอโทษด้วยล่ะกันที่ทำให้เหนื่อย จากนี้ก็ไม่ต้องมาดูแลฉันแล้ว จะไปทำอะไรก็ไปทำ” คำพูดนั้นทำให้บรรยากาศในบ้านเงียบงันลงทันที ก่อนที่ยายฝายจะหมุนตัวเดินผ่านลูกทั้งสองออกไปอย่างช้า ๆ
“แม่จะไปไหนน่ะ”
“เรื่องของฉัน” ขณะนั้นเองนุ๊กที่เห็นเหตุการณ์ก็รีบวิ่งตามยายฝายไป “เดี๋ยวหนูตามไปเองค่ะ” หญิงชราก้าวออกจากบ้าน เดินไปตามถนนในซอยเงียบ ๆ โดยมีนุ๊กหลานสาวคอยเดินตามอยู่ห่าง ๆ
“แกเป็นใครห๊ะ มาเดินตามฉันทำไม” ยายฝายหันมาถามเสียงห้ว “หนูนุ๊กลูกพ่อสันต์ลูกของคุณย่าค่ะ”
“งั้นเรอะ” พูดจบยายฝายก็เดินต่อ โดยมีนุ๊กเดินตามอยู่ข้างๆ ขณะทั้งคู่กำลังจะข้ามถนน รถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งก็พุ่งออกจากซอยอย่างรวดเร็ว เสียงเบรกดังลั่นก่อนร่างของยายฝายจะล้มลงกับพื้น
“คุณย่า!”
“โอ๊ย!!” เสียงร้องของนุ๊กดังลั่นพร้อมกับที่เธอรีบวิ่งเข้าไปดูอาการของยายฝายแต่ยังไม่ทันได้ตั้งสติ ก็เห็นว่ามีชายชราคนหนึ่งล้มอยู่ใกล้ ๆ กัน
“ไม่เป็นไรมากมั้ยคะ” นุ๊กรีบพยุงทั้งคู่พลางมองดูบาดแผล ยายฝายมีแค่รอยถลอกเล็กน้อย ส่วนชายชรามีแผลถลอกใหญ่ที่แขน
“อะไรเนี่ย แกเป็นใครเนี่ยห๊ะ”
“ลืมกันอีกแล้วเรอะ ฉันบุญไง แฟนเก่าแกน่ะ แล้วอีกอย่างอย่ามัวแต่เหม่อสิ ไม่เห็นรึไงว่ารถมันมาน่ะ”
“ใครจะเห็นล่ะ ตาฉันไม่ได้ดีเหมือนเด็กๆ สักหน่อย โอย~”
“เจ็บตรงไหนรึเปล่าคะคุณย่า”
“ช่างฉันเถอะ” ยายฝายปัดมือหลานสาวออกอย่างกับเด็กดื้อ
“ไม่ได้นะคะ” กรีบพูด ก่อนหันไปมองชายชราที่แขนมีแผลถลอก “แล้วคุณตาเป็นอะไรมั้ยคะ อุ๊ย! ที่แขนคุณตาถลอกด้วย รอแป๊บนึงนะคะ เดี๋ยวหนูโทรหารถพยาบาลก่อน”
“ไม่เป็นไรหรอกหนู แผลแค่นี้ไม่เป็นอะไรหรอก เดี๋ยวมันก็หายไปเอง”
“ไม่ได้ค่ะ อาจารย์ที่โรงเรียนสอนว่าต่อให้เป็นแผลถลอกยังไงก็ต้องไปให้หมอดูอาการ ล้างแผลค่ะ แล้วยิ่งอายุเยอะๆ ด้วยยังไงก็ต้องไปตรวจค่ะ” นุ๊กพูดพลางกดโทรศัพท์เรียกรถพยาบาลทันที ขณะที่ตาบุญหันไปมองยายฝายซึ่งกำลังจะลุกหนีออกจากตรงนั้น
“จะไปไหนน่ะฝาย” ตาบุญรีบคว้ามือหญิงชราไว้ “ปล่อยฉัน ฉันจะไปไหนก็เรื่องของฉัน”
“เป็นอะไรของแกฮึ แก่จนเดินไม่ไหวยังจะดื้ออีก อยู่เฉยๆ รอรถพยาบาลเลย”
“หุบปากไอ้แก่ แล้วแกเป็นใครเนี่ยปล่อยฉันนะ”
“ไม่ อย่าดื้อให้มันมาก มานั่งรอนี่” ตาบุญไม่รอให้ยายฝายได้ปฏิเสะ แกดึงยายฝายแล้วดันตัวของแกให้นั่งลงกับฟุตบาทก่อนไม่นานรถพยาบาลก็มาถึง
พยาบาลเข้าทำการช่วยเหลือและทำแผลให้ทั้งคู่ และตำรวจก็เข้ามาสอบปากคำเพื่อนำข้อมูลไปตามคู่กรณี
“ขอแนะนำให้ไปตรวจเพิ่มเติมที่โรงพยาบาลนะคะ แม้จะดูปลอดภัยดีแต่ในวัยนี้ควรให้แพทย์ตรวจยืนยันอีกครั้งค่ะ”
“ขอบใจมากนะหนู” ตาบุญหันไปขอบคุณพยาบาล
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณตากับคุณยายจะไปตรวจเลยมั้ยคะเดี๋ยวหนูจะพาไปส่งที่โรงพยาบาลให้”
“ตายังไงก็ได้”
“คุณย่าจะไปไหนคะ เราต้องไปตรวจร่างกายก่อนนะคะ”
“ปล่อยฉัน” เสียงโต้เถียงของยายหลานดังขึ้นท่ามกลางสายตาของผู้คนรอบข้าง ยายฝายพยายามจะเดินหนี ส่วนหนูนุ๊กก็ยืนขวางอยู่ตรงหน้า มือทั้งคู่จับกันแน่นราวกับต่างไม่ยอมแพ้
“ไม่ ฉันจะกลับบ้าน”
“คุณย่า!” ตาบุญที่ยืนอยู่ไม่ไกล รีบเดินตรงเข้ามาหาสองยายหลานก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าแขนหญิงชราทันที
“ปล่อยฉัน! แกเป็นใครจะพาฉันไปไหน!”
“เลิกดื้อสักทีฝาย แกเจ็บไปทั้งตัวนะ ไปตรวจที่โรงพยาบาลไป” ตาบุญเอ่ยพร้อมกับดึงแขนยายฝายให้เดินไปทางรถพยาบาลที่จอดรออยู่ ยายฝายยังพยายามดิ้น แต่เพราะความเจ็บจึงทำได้ไม่มากนัก สุดท้ายก็จำต้องยอมขึ้นรถไป
ที่โรงพยาบาล ทั้งยายฝายและตาบุญถูกพาเข้าห้องเอกซเรย์ ตรวจร่างกายอย่างละเอียด
คุณหมอแจ้งว่า ตาบุญ มีเพียงแผลถลอกกับรอยช้ำเล็กน้อย ไม่มีกระดูกหักหรือร้าว ส่วน ยายฝาย มีรอยช้ำบริเวณเอวและข้อศอก แต่โดยรวมไม่เป็นอันตรายร้ายแรง
“คุณพ่อกำลังมารับนั่งรอตรงนี้นะคะ”
“ใคร แล้วแกเป็นใครเนี่ย”
“หนูนุ๊กหลานแท้ๆ ของคุณย่าค่ะ ส่วนคนที่กำลังมารับเราคือพ่อสันต์ลูกชายคนโตของคุณย่าค่ะ”
“งั้นเรอะ”
“ไม่มีอะไรแล้วงั้นฉันกลับก่อนนะ” ตาบุญพูดขึ้นขณะลุกจากเก้าอี้ แต่ยังไม่ทันได้ก้าวไปไหน นุ๊กก็รีบเอ่ยเรียกตาม “กลับด้วยกันสิคะคุณตา”
“ไม่เป็นไรอีหนู เดี๋ยวตากลับเองดีกว่า” ยังไม่ทันที่เด็กสาวจะพูดต่อ เสียงหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“แค่รอกลับด้วยกันมันจะตายเรอะ” ตาบุญชะงัก หันมองตามเสียงนั้น พบยายฝายนั่งอยู่บนเก้าอี้สีขาวด้านข้าง สายตานิ่งเรียบจ้องมาที่เขา
ชายชราอดหัวเราะเบา ๆ ไม่ได้ ยกยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะเดินกลับมานั่งลงข้าง ๆ เธออีกครั้ง ทั้งคู่ไม่พูดอะไรต่อ
ไม่นาน รถยนต์สีดำแบรนด์ญี่ปุ่นก็ขับเข้ามาจอดเทียบด้านหน้าโรงพยาบาล ประตูเปิดออกก่อนที่คนสองคนจะรีบลงมา
“แม่!” เสียงเรียกดังลั่นก่อนร่างของ ส้ม ลูกสาวคนที่สองของยายฝายจะวิ่งตรงเข้ามากอดผู้เป็นแม่แน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความเป็นห่วง ทั้งความโล่งใจและน้ำตาที่เอ่อคลอในเวลาเดียวกัน
“แกเป็นใครเนี่ย” ยายฝายเอ่ยถามหญิงวัยกลางคนตรงหน้า
“ฉันส้มลูกแม่ไง แล้วเป็นไรมากมั้ยเนี่ย” ส้มกวาดสายตาสำรวจร่างของแม่ เห็นเพียงรอยช้ำเล็กน้อยกับแผลถลอกบางจุด
“คุณย่าไม่เป็นอะไรมากค่ะ โชคดีที่ได้คุณตาคนนี้ช่วยเอาไว้” ส้มหันมองไปที่ชายชราอีกคนก่อนเธอจะหันไปขอบคุณเขา
“ขอบคุณนะลุงบุญ แล้วลุงเป็นไรมากมั้ย”
“ไม่เป็นไรหรอก แผลแค่นี้เอง” ส้มเหลือบมองเห็นผ้าพันแผลผืนใหญ่ที่พันอยู่รอบแขนชายชรา ก็อดเอ่ยไม่ได้ “แผลแค่นี้อะไรล่ะตาบุญ แต่ก็ขอบใจนะจ๊ะ”
“กลับกันเถอะ จะได้ให้เขาพัก” สันต์เอ่ยก่อนนุ๊กและส้มจะช่วยพยุงตาบุญและยายฝายขึ้นรถ
รถยนต์แล่นไปอย่างเงียบงันจนมาจอดหน้าบ้านหลังหนึ่ง บ้านทาวน์เฮ้าส์เก่า ๆ ที่สีถลอกลอกตามกาลเวลา ด้านหน้ามีกองถุงพลาสติกใบใหญ่และกล่องกระดาษวางเรียงกันเป็นแถว ดูเหมือนจะเป็นขยะรีไซเคิล
“ขอบใจมากนะลูก”
“ไม่เป็นไรจ๊ะลุงบุญ ฉันต้องขอบคุณลุงต่างหาก”
“งั้นลุงไปก่อนนะ ไปก่อนนะฝาย”ยายฝายเหลือบมองชายชราข้างตัวเพียงครู่ ไม่ได้พูดอะไรออกมา มีเพียงแววตานิ่งเงียบที่มองตามร่างนั้นเข้าในบ้านไปจนลับสายตา
รถยนต์ยี่ห้อญี่ปุ่นขับออกไปตามถนนตรงไปยังบ้านของยายฝาย ส้มเอ่ยขึ้นหลังจากจาบุญลงจากรถไปแล้ว
เมื่อรถแล่นออกไป ส้มก็พูดขึ้นพลางมองกระจกหลัง “ลุงบุญแกเป็นคนดีนะเนี่ย ขนาดแกปูนนี้แล้วยังอุตส่าห์วิ่งมาช่วยแม่ให้ไม่โดนรถชน”
“แกอาจจะแค่หวังเงินช่วยจากเราก็ได้นี่”
เสียงของสันต์ทำเอาส้มชะงัก หันขวับไปมองพี่ชายด้วยสีหน้าขุ่น “พี่สันต์! เลิกพูดใส่ร้ายคนอื่นสักทีได้มั้ยเนี่ย”
“แล้วฉันพูดผิดตรงไหน คนแก่ที่ไม่มีเงินแบบนั้นเขาก็ต้องหาวิธีหาเงินกับคนใกล้ตัวนี่แหละ เพราะมันง่ายที่สุด”
“พี่-”
“ว่าคนอื่นได้แต่ไม่เคยดูตัวเองเลยเนาะ สงสารลูกแกจัง พ่อก็อายุปูนนี้แล้ว ยังเป็นตัวอย่างที่ดีให้ไม่เลย” คำพูดของยายฝายทำให้ทุกคนเงียบสนิทในทันที ถึงแม้ความทรงจำของแกจะพร่าเลือน จำชื่อใครไม่ได้แม้แต่ของตัวเอง แต่ดูเหมือนแกจะยังคงจำความถูกผิดได้ดี
เมื่อกลับถึงบ้าน ส้มค่อย ๆ พยุงแม่เข้าไปในบ้านอย่างระมัดระวัง ขณะนั้นเสียงโทรศัพท์ของสันต์ดังขึ้น เขารีบรับสายสีหน้าเคร่งเครียดตลอดการสนทนา ก่อนจะวางสายลงพร้อมถอนหายใจหนัก ๆ
“ผมกลับก่อนนะแม่ มีธุระด่วน” ยายฝายหันมองลูกชายคนโตที่ตอนนี้แกลืมชื่อเขาไปแล้วก่อนจะพูดประโยคหนึ่งออกมา “แล้วแต่แกเถอะ คราวหน้าก็ไม่ต้องมาแล้วนะ ฉันไม่อยากได้ความช่วยเหลือของคนที่ไม่เต็มใจจะช่วย”
เธอพูดจบแล้วหมุนตัวเดินเข้าบ้าน ทิ้งให้สันต์ยืนนิ่งอยู่กับที่ กำหมัดแน่น ดวงตาแดงก่ำแต่ไม่กล้าพูดอะไรออกมา
นุ๊กที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่เงียบ ๆ รีบวิ่งเข้าไปไหว้ลายายฝาย “คุณย่าคะ เดี๋ยวหนูขอตัวก่อนนะคะ แล้วก็ขอโทษแทนคุณพ่อด้วยนะคะ หนูไปล่ะค่ะ อาส้มลาก่อนนะคะ”
“เดี๋ยว” เสียงของยายฝายดังขึ้นก่อนที่เด็กสาวจะก้าวขาออกจากบ้าน “คราวหน้าจะมาก็มา แต่อย่าเอาพ่อแกมาด้วย”
นุ๊กเม้มปากก่อนดวงตาของเธอจะเริ่มร้อนผ่าวจากน้ำตาที่ค่อยๆ ไหลออกมา เธอยกแขนขึ้นเช็ดน้ำตาก่อนจะวิ่งกลับมากอดยายฝายครู่หนึ่งก่อนจะผละแล้วออกจากบ้านไป
ยายฝายทอดมองออกนอกหน้าต่าง รถยนต์ยี่ห้อญี่ปุ่นค่อยๆ ขับออกจากบ้านไปจนลับสายตา
“นี่” เสียงเรียกของยายฝายทำให้ส้มที่กำลังจัดแจงยาอยู่ที่โซฟาหันมามองแม่ตัวเอง “มีอะไรหรอแม่”
“ถ้าฉันตายไปพวกแกจะสบายกว่านี้ใช่มั้ย”
“แม่พูดอะไรน่ะ” ส้มถึงกับวางยาลงบนโต๊ะก่อนจะจะเดินมาหาแม่ตัวเอง “ต่อให้แม่จากไปฉันก็ไม่สบายหรอกแม่”
“หรอ แล้วไม่เหนื่อยกันรึไง เอาแต่มาดูแลฉันอยู่ได้ ไม่ไปหางานการทำรึไง”
“แม่จำได้ด้วยหรอว่าฉันอยู่กับแม่ตลอดน่ะ” ความหวังเล็กๆ ของส้มเริ่มเพิ่มพูนมากขึ้นทีละน้อย “เปล่า ฉันสัมผัสได้เฉยๆ ว่ามีแค่แกที่ดูแลฉันทั้งที่ฉันจำอะไรไม่ได้เลย”
ประโยคของยายฝายทำเอาส้มถึงกับน้ำตาเอ่อออกมาก่อนเธอจะโผเข้ากอด ยายฝายไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่ลูบหลังเบาๆ ของลูกสาวคนรองก่อนจะทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง
หวังว่าพรุ่งนี้ ทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี และไม่ต้องมีใครต้องเหนื่อยอีกแล้ว…
“อ่าว ยายฝาย แกมาหาตาบุญหรอ” เพื่อนบ้านวัยยี่สิบปลาย ๆ เดินเข้ามาทัก เมื่อเห็นหญิงชรากำลังยืนมองทาวน์เฮาส์เก่า ๆ หลังหนึ่งอย่างสงสัย
“ใครคือตาบุญ”
“อ่อ…ลืมไปยายความจำเสื่อมนี่ ตาบุญเคยเป็นแฟนยายสมัยสาวๆ น่ะ”
“หรอ แล้วแกรู้ได้ไง รู้จักฉันเรอะ” ชายหนุ่มยกยิ้มขำเบาๆ “จะไม่รู้ได้ไง ก็ตาบุญแกเล่าให้ผมฟังทุกวันเลย ว่ายายนิสัยแบบนั้นแบบนี่ ขี้บ่นแบบนั้นแบบนี้ แต่แววตาตอนแกเล่านะ ดูมีความสุขเอามากๆ เลยล่ะ ถึงขั้นเอารูปมาให้ผมดูเลยนะ เนี่ยๆ”
เขาหยิบมือถือขึ้นมา เปิดรูปเก่าใบหนึ่งแล้วยื่นให้ดู เป็นภาพชายหญิงคู่หนึ่งในสมัยยังหนุ่มสาว ภาพซีดเหลืองตามกาลเวลา จนแทบแยกไม่ออกว่าคนในรูปคือใคร
“ใครน่ะ”
“ยายกับตาบุญไง” ยายฝายขมวดคิ้ว มองภาพนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง…เหมือนมีบางอย่างแล่นวาบเข้ามาในหัว รางเลือนเหมือนฝัน แต่ก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว
“แล้วตาบุญนั่นอยู่ไหน”
“อยู่ในบ้านน่ะ ตั้งแต่กลับจากโรงพยาบาลวันนั้นแกก็อาการแย่ลงเฉย”
“ทำไมถึงแย่ลง”
“ไม่รู้สิ แกเข้าไปดูเลย จะได้คุยกับตาบุญด้วย”ยายฝายจ้องประตูบ้านอยู่พักหนึ่ง ก่อนตัดสินใจเดินเข้าไป
ด้านในมีถุงรีไซเคิลนับสิบใบวางเรียงชิดกำแพงอย่างเป็นระเบียบ บ่งบอกว่าเจ้าของบ้านยังคงฝืนใช้แรงทำงานเท่าที่ตัวเองไหว ยายฝายเดินไปถึงห้องนั่งเล่น แล้วก็พบตาบุญนอนหมดสภาพอยู่บนเตียงเหล็กเก่า ๆ กลางบ้าน
“ใครน่ะ ฝายหรอ”
“เป็นไร”
“ก็แค่เป็นไข้น่ะ เมื่อวานตากฝนมา”
“หรอ” น้ำเสียงของเธอเรียบ แต่แฝงความไม่เชื่อมิดชิด แม้ความทรงจำจะไม่อยู่กับตัว แต่สัญชาตญาณบางอย่างทำให้เธอรู้ว่าเขากำลังโกหก
ยายฝายนั่งลงปลายเตียง มองคนตรงหน้าอย่างพิจารณา ตาบุญผอมซูบจนกระดูกชัด ใบหน้าซีดเซียว แค่จะยันตัวลุกก็แทบไม่มีแรง
“โอย…” มือเหี่ยวย่นของตาบุญจับหน้าท้องตัวเองแน่น “เจ็บท้องรึไง”
“นิดหน่อยน่ะ ไม่มีอะไรหรอก”
“แน่ะเรอะ”
“เออน่า แล้วแกมาทำไมเนี่ย ลูกสาวแกปล่อยแกมาคนเดียวมาได้ยังไงเนี่ย เดี๋ยวก็กลับไม่ถูกหรอก”
“แกก็ไปส่งฉันสิ”
“ฮะๆ ก็อยากไปส่งอยู่หรอก แต่สภาพนี้แค่จะเดินยังจะไม่ไหวเลย”
“…”
“แล้วแกกินอะไรมารึยังล่ะ”
“ไม่รู้ จำไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หิว”
“งั้นเรอะ เฮ้อ…” ตาบุญค่อยๆ ขยับตัวเอื้อมมือไปหยิบถุงโจ๊กที่เพื่อนบ้านซื้อมาฝาก
ตาบุญค่อย ๆ เอื้อมมือไปหยิบถุงโจ๊กที่เพื่อนบ้านซื้อมาฝาก มือสั่นเทาแกะหนังยางอยู่นาน แต่เพราะแรงที่หายไปแทบหมดทำให้แกะเท่าไหร่ก็แกะไม่ได้สักที
ยายฝายมองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมือไปดึงถุงโจ๊กจากมือเขา เทใส่ชามเก่า ๆ เงียบ ๆ
“ขอบใจนะฝาย”
“อือ แค่รำคาญตาน่ะ”
“ฮ่าๆ แกนี่ยัง ปากแซ่บเหมือนเดิมเลยนะ”
“เราเคยรู้จักกันมาก่อนด้วยรึ” เหมือนเดิมทุกครั้ง คุยไปคุยมาความทุกอย่างของยายฝายก็จะหายไปในทันที ซึ่งมันก็เป็นปกติของคนที่ป่วยเป็นภาวะสมองเสื่อม ไม่แปลกที่แกจะลืมทุกอย่างภายในไม่กี่นาที
“เคยสิ เคยเป็นแฟนกันมาก่อน”
“เคยรึ แล้วทำไมไม่คบต่อล่ะ”
“พ่อแม่แกไม่ให้คบน่ะสิ” ตาบุญยิ้มบาง ๆ ทั้งที่แววตาเจือความเศร้าลึกจนคนธรรมดาอาจมองไม่ออก เขามองอดีตคนรักที่จำเขาไม่ได้เลยสักเสี้ยวขณะ ก่อนยิ้มอ่อนเหมือนคนที่เคยชินกับความเจ็บปวดนี้ไปแล้ว “เพราะฉันมันเป็นลูกคนจนพ่อแม่แกเลยบังคับให้เลิกกับแก แล้วให้แกไปแต่งงานกับคนรวยแทน”
พอได้ยินยายฝายก็ขมวดคิ้วทันทีแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ “...”
“ตอนนั้นฉันเจ็บปวดมากเลยนะ เศร้าก็เศร้านั่งร้องไห้ทุกวันเลย ข้าวก็กินไม่ลง”
“ขนาดนั้นเลยหรอ”
“ใช่ โอ๊ย…” ตาบุญยกมือกุมท้อง สีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดที่พยายามเก็บซ่อนไว้
“แกเป็นไร”
“ไม่มีอะไรหรอก แค่ปวดท้องเฉยๆ”
“ไม่ไปหาหมอล่ะ”
“ฉันไม่มีเงินหรอก ประกันอะไรก็ไม่มี ช่างเถอะ เดี๋ยวมันก็หาย”เขาก้มหน้ากินข้าวเงียบ ๆ เหมือนไม่อยากให้เธอสังเกตเห็นว่าตัวเองทรุดหนักแค่ไหน
“นี่ แกไปไม่ไหวใช่มั้ย” ตาบุญหันมองอย่างงุนงงก่อนหัวเราะแผ่ว ๆ “หือ? ทำไม แกจะชวนไปเที่ยวเรอะ แปลกนะเนี่ย”
“อืม แต่แกไม่ไหวนี่ ไม่ต้องก็ได้”
“ไม่ๆ ฉันไปได้” ชายชราชันตัวลุกจากเตียงเหล็กอย่างทุลักทุเล “ไหวเรอะ”
“ไหว แกอุตส่าห์ชวนแล้วจะไม่ไปได้ยังไงล่ะ” เขาพยุงตัวเดินเข้าไปในห้องน้ำ แม้ยายฝายจะห้ามยังไงก็ไม่ยอมฟัง สักพักเขาออกมาพร้อมชุดเก่าแต่สะอาดหมดจด เหมือนตั้งใจแต่งตัวดี ๆ เพื่อออกเที่ยวกับเธอเพียงครั้งนี้ครั้งเดียว
“ป่ะ ไปเที่ยวกัน” ตาบุญเดินมาดึงแขนเธอขึ้นอย่างแผ่วเบา สีหน้าของแกเหมือนจะดูดีกว่าเมื่อกี้ราวกับคนละคน
ยายฝายถอนหายใจก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือเหี่ยวๆ ของตาบุญ “อ่ะๆ ไปก็ไป”
รถซาเล้งเก่า ๆ เคลื่อนตัวออกจากบ้านไปตามถนนเล็ก ๆ ลมอ่อน ๆ พัดผ่านใบหน้าเหี่ยวย่นของทั้งคู่ ยายฝายมองวิวสองข้างทางด้วยสีหน้าเรียบนิ่งราวกับพยายามมองอะไรบางอย่างไม่นาน รถก็เลี้ยวเข้าวัดอารามไม่ไกลจากบ้าน
“พามาที่นี่ทำไม แล้วแกเป็นใครเนี่ย”
“แฟนเก่าน่ะ จำได้มั้ย”
“ไม่ได้” ตาบุญหัวเราะเบา ๆ เหมือนเคยชินกับการถูกลืม
จริงสิ…นี่แหละยายฝาย ยายแก่ปากจัดที่เขารักมาตลอดชีวิต
ทั้งสองเดินเข้าไปในวัด คนเยอะจนแทบไม่มีที่ยืนทำเอายายฝายถึงกับขมวดคิ้ว
“เป็นไรฝาย”
“คนเยอะ วุ่นวาย”
“อ่า.. แกไม่ชอบคนเยอะๆ สินะ” ยายฝายไม่ชอบที่คนเยอะ เคยบอกว่าวุ่นวาย หายใจไม่ออก ร้อนจนเวียนหัว เธอไม่ค่อยเชื่อเรื่องศาสนา ไม่ค่อยขอพร เพราะขอแล้วไม่ได้ จะศรัทธาต่อไปทำไม ต่างจากผู้เฒ่าคนอื่นที่ชอบเข้าวัดมากกว่าอยู่บ้านเสียอีก
“มาๆ ไหว้พระกัน” ตาบุญเอื้อมจับข้อมือเธอ ลากเบา ๆ ให้เดินตามยายฝายมองมือเหี่ยวของเขาปกติแกคงดึงออกไปแล้ว แต่คราวนี้กลับยอมให้จับอย่างง่ายดาย
ทั้งคู่ฝากรองเท้าและเดินเข้ามาในโบสถ์ ตาบุญไม่ปล่อยมือเธอเลย เหมือนกลัวว่าหันหลังเมื่อไหร่เธอจะหลงหายไป
เขาส่งดอกไม้ธูปเทียนให้เธอยายฝายไหว้ตามเงียบ ๆ ไม่มีคำอธิษฐาน ไม่มีบทสวดแค่ทำเพราะอีกคนทำ
ตาบุญยังพายายฝายเดินไปรอบๆ ตามทางที่วัดจัดให้ เดินชมความสวยงามของวัดโดยมีมือของตาบุญคอยจับไม่ห่าง
ดวงตาฝ้าฟางของยายฝายกวาดมองสีทองกำแพงวัด ลวดลายเก่าที่ถูกบูรณะ นี่อาจเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เธอได้ใช้สายตาดูอะไรอย่างตั้งใจ
“สวยเนาะ” เธอหันไปมองข้าง ๆ เห็นตาบุญยืนพิงกำแพงยิ้มอ่อนให้ “อือ แล้วแกเป็นใครเนี่ย”
ตาบุญหัวเราะแผ่ว ๆ “ฮ่าๆ อีกแล้วหรอเนี่ย แกก็แฟนฉันไง”
“ไม่ใช่แฟนเก่าหรอ”
“อ่าว ทีนี้จำได้เฉย” ยายฝายชะงักเล็กน้อย เหมือนโดนจับได้ รีบหันหน้าหนีแล้วเดินออกไปทันที “จะไปไหนน่ะฝาย เดี๋ยวก็หลงหรอก”
“หนวกหู ฉันจะกลับ”
“เขินก็บอกน่า”
“หุบปากไปตาแก่” ยายฝายเดินจ้ำอ้าวหนีไปด้านหน้าโดยไม่สนใจเสียงแซวของอีกคนแม้แต่น้อย ต่างกับตาบุญที่ยืนหัวเราะเบา ๆ อย่างเอ็นดู ท่าทางงอนง่ายปากจัดแบบนี้ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่สิบปีก็ยังคงเป็น “ยายฝายคนเดิม” ที่เขารักเสมอ
หลังออกจากวัด ทั้งสองขับรถซาเล้งคันเก่ากลับมาตามถนนใหญ่ ลมเย็นยามบ่ายพัดผ่านใบหน้าเหี่ยวย่น ตาบุญหรี่ตาเพราะแสงแดด แต่ยังคงขับอย่างตั้งใจ ราวกับนี่คือเที่ยวสุดท้ายที่อยากพาเธอไปให้มากที่สุด
รถซาเล้งหยุดสนิทที่สัญญาณไฟแดงกลางสี่แยก จู่ ๆ ตาบุญก็ยกมือกุมท้อง ความเจ็บแล่นวาบจนเขาแทบหายใจไม่ออก แต่ยังพยายามกดเสียงครางไว้ไม่ให้อีกคนได้ยิน
“เฮ้ย! อะไรน่ะ!” เสียงตะโกนลั่นมาจากรถด้านหลัง แต่ยังไม่ทันที่ตาบุญจะหันไปดู เสียงชนดังสนั่น รถซาเล้งทั้งคันกระเด็นหมุนหลายรอบก่อนจะไถลไปกระแทกกลางถนน เสียงเหล็กเสียดกับพื้นดังยาวเสียงล้อรถเบรกกะทันหันดังระงมไปทั่วสี่แยก
ผู้คนพากันทิ้งรถ วิ่งกรูเข้ามาหาตายายที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นถนน
บางคนรีบเข้ามาปิดถนน บางคนตะโกนหาคนช่วย บางคนกดโทรศัพท์เรียกรถพยาบาลเสียงสั่น
“เอ้ย! ใครก็ได้มาช่วยยกรถหน่อย ตาโดนทับ” เสียงโหวกเหวกดังจนยายฝายปวดหัวไปหมด ยายฝายพยายามลืมตามองแต่ภาพตรงหน้ามืดสลัวสลับสีแดงฉานจากเลือดของตัวเอง แรงที่มีน้อยนิดแทบไม่พอจะขยับแม้แต่ปลายมือ
เกิดอะไรขึ้น
แล้วตาที่ว่า คนพวกนั้นเขาหมายถึงใครกันนะ ก่อนภาพทุกอย่างจะจัดไป
“นี่ฝาย”
ใครน่ะ ใครเรียกฉัน
“ยังฟังอยู่ใช่มั้ย ไม่ต้องตอบก็ได้”
ใครกัน ทำไมมันคุ้นเสียงนี้จังเลย
“เห้อ ไม่คิดไม่ฝันเลยนะว่าจะมาเป็นแบบนี้ได้ อุตส่าห์ได้ไปเที่ยวด้วยกันแท้ๆ”
“...”
“ฉันคงไม่ได้ไปหาแกแล้วนะ จากก็ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ อย่าดื้อเถลไถลเดินออกข้างนอกคนเดียวเข้าใจมั้ย แก่ป่านนี้แล้วเดี๋ยวส้มจะวุ่นวายเอา”
“...”
“แต่พูดไปแกคงไม่ฟังฉันหรอก เพราะแกความจำเสื่อมนี่ จำใครไม่ได้ ขนาดตัวเองยังจำไม่ได้เลย”
“...”
“แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็รักแกนะฝาย แม้ว่าสุดท้ายแล้วชาตินี้เราจะได้แค่ไปเที่ยวด้วยกัน เดินเล่นด้วยกัน แต่อย่างน้อยก่อนจะไปมันก็ทำให้ฉันมีความสุขเอามากๆ”
“...”
“ขอบคุณนะฝาย แม้ว่าสุดท้ายแล้วแกจะดูไม่ค่อยอยากไปกับฉันสักเท่าไหร่ก็เถอะ”
“...”
“แต่ก็ขอบคุณมากนะ ถ้าชาติหน้ามีจริงก็ขอให้เราเกิดมาคู่กันนะ”
ตี๊ด……ตี๊ด……
“แม่! แม่! หมอคะแม่ฉันฟื้นแล้วค่ะ”
เปลือกตาที่หนักอึ้งพยายามขยับขึ้นอย่างเชื่องช้า ดวงตาพร่ามัวกวาดมองไปรอบ ๆ ห้องสีขาว ทั้งหมอและพยาบาลในชุดคลุมสีสะอาดกำลังวิ่งเข้ามารุมล้อมเตียงที่เธอนอนอยู่
ผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งยืนข้างเตียง ใบหน้าชื้นน้ำตา มือกำชายเสื้อแน่นด้วยความตกใจ
“ขออนุญาตตรวจร่างกายนะครับ”
คุณหมอเริ่มตรวจร่างกายยายฝายอย่างละเอียด ทั้งภายนอกและภายใน ผลออกมาว่าเธอมีอาการช้ำใน สมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ส่งผลให้ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้อีกต่อไป
แต่ท่ามกลางโชคร้ายก็ยังมีโชคดีหลงเหลืออยู่บ้าง เธอยังพูดคุยรู้เรื่อง ยังทานข้าวได้ตามปกติ เพียงแต่เดินไม่ได้ ทำอะไรด้วยตัวเองไม่ได้ และยังคงความจำเสื่อมเหมือนเดิม
“ฉันใจหายมากเลยนะแม่ ที่มีคนโทรมาบอกว่าแม่โดนชนน่ะ” ส้ม ลูกสาวคนรองโผเข้ากอดแม่ทันทีหลังจากหมอถอยออกไป น้ำเสียงสั่นจนฟังออกว่าร้องไห้มานานแค่ไหนแล้ว
“แกเป็นใครรึ” ส้มสะอึกไปหนึ่งจังหวะ ก่อนยกมือเช็ดน้ำตาที่เลอะเต็มหน้า “ฉันส้มลูกสาวแม่ไง”
“แกเป็นคนที่ดูแลฉันรึ”
“ใช่จ๊ะ แม่รู้ด้วยหรอเนี่ย” ส้มหัวเราะทั้งน้ำตา
“ฉันเดินไม่ได้แบบนี้ยังจะดูแลฉันเรอะ” ส้มชะงัก เหมือนโดนกระแทกกลางใจ เธอนั่งลงข้างเตียงกุมมือแม่แน่น
“ทำไมแม่พูดงั้นล่ะ ต่อให้แม่พูดไม่ได้หรือนอนติดเตียงฉันก็จะดูแลอยู่ดี” เธอซบหน้าลงที่ตักของยายฝาย เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมาเบา ๆ
“ขอบใจนะ”
คำพูดสั้น ๆ นั้นทำให้ส้มร้องหนักกว่าเดิม บางทีนี่อาจเป็นไม่กี่ครั้งในรอบหลายปี ที่แม่ยังจำได้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่ลำพัง
หลังพักฟื้นอยู่หลายวัน อาการของยายฝายดีขึ้นพอจะกลับบ้านได้แต่นับจากวันนั้น เธอก็แทบไม่พูด ไม่ทำอะไร เอาแต่นั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย แม้ส้มจะชวนออกไปเดินเล่นบ่อยแค่ไหน ยายฝายก็จะส่ายหน้า ขออยู่บ้านอย่างเดียวทุกครั้ง
“น้าส้มยายฝายอยู่มั้ย”
“ใครมาน่ะ เดี๋ยวฉันออกไปดูก่อนนะ” ส้มเดินออกไปดูพอเปิดประตูรั้วก็พบว่าเป็นบอล เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างบ้านของตาบุญ
“อ่าวบอล มีไรหือ?”
“ยายฝายอยู่มั้ยอ่ะ”
“อยู่มีไรรึ”
“จะชวนแกไปเยี่ยมตาบุญน่ะ” พอพูดถึงตาบุญส้มก็ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพยายามทำสีหน้าให้เป็นปกติ ยอมรับว่าวันเกิดเรื่องเธอแอบโกรธตาบุญมากที่พาแม่ของเธอไปเจออุบัติเหตุ
แต่พอได้ยินเหตุผลของแม่จากบอลเธอก็โกรธไม่ลง จะว่าไงดี เพราะในตอนนี้คนที่ทำให้แม่มีความสุขได้มีแต่ตาบุญเท่านั้น
“เดี๋ยวน้าถามยายก่อนนะ เข้ามาก่อนสิ” ส้มเดินนำบอลเข้ามาในบ้าน
“ยายฝายสวัสดีครับ”
“ใครน่ะ”
“ผมบอลที่อยู่ข้างบ้านตาบุญแฟนเก่ายายน่ะ” ยายฝายหันมามองเด็กหนุ่ม คิ้วขมวดแน่นขึ้นอย่างงงงัน “แฟนเก่าฉันเรอะ ชื่ออะไรนะ”
“ตาบุญครับ” ยายฝายยังทำหน้าไม่เข้าใจ ส้มจึงแทรกขึ้น “แม่จะไปมั้ย ไปเยี่ยมตาบุญหลานเขามาชวน”
“เอาสิ ไปก็ไป”
บอล ยายฝายและน้าส้ม เดินทางด้วยรถยนต์ SUV ที่บอลเป็นเจ้าของ ทั้งสามคนเดินทางมายังที่วัดแห่งหนึ่งที่ไม่ไกลจากที่นี่นัก วัดแห่งนี้ไม่ได้ใหญ่โตเหมือนพวกวัดอารามหลวง เป็นแค่วัดขนาดกลางที่พอมีผู้คนในออำเภอแแวะเวียนมมาทำบุญบ้างเฉพาะวันพระใหญ่
ทั้งสามเดินอ้อมไปด้านหลังโบสถ์ ที่ซึ่งเป็นที่เก็บกระดูกของผู้เสียชีวิต
“ทำไมพามาที่นี่” ยายฝายเอ่ยขณะที่สายตายังจดจ้องไปที่ป้ายของหลุมศพตรงหน้า
“พามาเยี่ยมแฟนเก่ายายไง” ยายฝายขมวดคิ้วทันที
“หรอ แล้วทำไมตาแก่นั่นถึงตายล่ะ ทำไมไม่มาหาฉัน”
“เขาเสียตอนพายายไปเที่ยวน่ะ”
“…” ไม่มีเสียงตอบรับจากคนทั้งคู่นอกจากเสียงลมพัดหวิวที่ให้ทุกคนตรงต่างพากันขนลุกชูชัน
“ถ้าจำไม่ผิดตากับยายไปเที่ยววัดศรีพนมน่ะ แล้วตอนที่จอดติดไฟแดงมันมีรถขับมาชนรถตากับยายพอดี ทำให้ตากับยายกระเด็นไปกลางแยกเลย”
“แล้วตาแก่นั่นก็ตายใช่มั้ย”
“ครับ ตรงที่เกิดเหตุเลย เห็นว่าโดนรถซาเล้งทับบวกกับหัวฟาดพื้นแรงด้วย แกเลยเสียทันที”
“…”
“น่าสงสารแกนะ ป่วยเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากไม่พอยังมาเกิดอุบัติเหตุอีก เห้อ” ดวงตาว่างเปล่ามองรูปของตาบุญที่อยู่บนป้ายหลุมศพ
“แกบอว่าตาแก่นี่เป็นแฟนเก่าฉันใช่มั้ย”
“ครับ”
“นี่ตาแก่ ฉันไม่รู้ว่าแกจะได้ยินฉันมั้ยนะ” คำพูดของยายฝายทำให้บอลกับส้มต่างหันมามองเธออย่างประหลาดใจก่อนทั้งคู่ต่างพากันหันไปมองยายฝายด้วยความประหลาดใจ “ฉันจำไม่ได้หรอกว่าที่ผ่านมาแกมาหาฉันกี่ครั้ง พาฉันไปเที่ยวกี่ครั้ง แล้วฉันไปหาแกกี่ครั้ง แต่ไม่ว่าฉันจะจำได้หรือไม่ได้มันก็สำคัญ แต่สิ่งที่แกคอยทำให้ฉันมันมีความสุขมากเลยๆ นะ”
ส้มยกมือปาดน้ำที่จู่ๆ มันไหลออกมาเอง ส่วนบอลก็ยกยิ้มอย่างนึกเอ็นดูหญิงชราตรงหน้า
“ขอบคุณที่คอยดูแลมาตลอดนะ ขอบคุณในทุกๆ เรื่อง”
“…”
“ขอบคุณที่คอยมาหา คอยพาไปเที่ยวแม้ฉันจะจำอะไรไม่ได้สักนิด”
“…”
“ถึงแม้ตอนนี้มันจะช้าไปหน่อย แต่ตั้งแต่วันนี้เรากลับมาเป็นแฟนกันนะ” เสียงสะอื้นเบาๆ ของลูกสาวอย่างส้มดังขึ้นแทรกเบาๆ พร้อมกับสายลมพัดเบาๆ ที่พัดมาตอนหลังยายฝายพูดจบทันที ราวกับว่าเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าคนตายกำลังตอบรับในสิ่งที่เราพูดอยู่
“ฉันไม่ได้ต้องการคำตอบของแกนะ แต่มันคือการบังคับ”
“…”
“เราจะเป็นแฟนกันตั้งแต่ตอนนี้ จนถึงชาติหน้า ชาติถัดไป และต่อๆ ไป”
“…”
“เห้อ จะว่าไปฉันก็เริ่มคิดถึงแกแล้วนะ แม้จะจำไม่ได้ก็เถอะว่าเมื่อก่อนเราเป็นแฟนกันแบบไหน แต่ถึงแบบนั้น…ฉันก็อยากไปหาแกนะ ถ้าเป็นไปได้ก็ช่วยมารับฉันที ฉันไม่อยากให้ลูกสาวฉันต้องมาลำบากดูแลคนแก่ที่ช่วยตัวเองไม่ได้แบบฉัน”
“แม่…ฮือ…” ส้มโผเข้ากอดแม่พร้อมกับปล่อยโฮออกมา “ไม่เอานะ แม่อย่าจากฉันไปนะ”
“ก็แค่ตาย ไม่ได้ไปไหนสักหน่อย”
“แต่ฉันไม่อยากให้แม่ตาย ไม่เอา..”
“วันนี้ฉันไม่ตาย วันหน้าก็ต้องตายอยู่ดี ฉันไม่ได้เป็นอมตะเหมือนในหนังนะ”
“…” ไม่มีเสียงตอบรับจากลูกสาวน้องจากเสียงสะอื้นที่ยังคงดังต่อเนื่อง
“อย่าเหนื่อยเพื่อฉันเลย ฉันก็แค่คนแก่คนนึงที่ทำอะไรไม่ได้แล้ว แกควรไปใช้ชีวิต เอาเวลาที่เหนื่อยกับฉันไปเหนื่อยให้ตัวเองเถอะ”
“ไม่…”
“อายุก็ปูนนี้แล้ว ได้เวลาที่แกต้องพักแล้ว”
“ไม่เอา”
“ดื้อให้มันน้อยๆ หน่อย” ยายฝายตบหลังลูกสาวเบาๆ “แกโตแล้วนะ ไม่ต้องมาวุ่นวายกับเรื่องของคนแก่หรอก ชีวิตฉัน ฉันตัดสินใจเองได้”
“ฮึก…”
“กลับได้แล้ว มันได้เวลากินข้าวของฉันแล้ว”
“ครับๆ กลับกัน” บอลเข้ามาเข็นรถให้ยายฝายพร้อมกับส้มที่เดินตามมาด้วย “กลับบ้านกันเลยนะครับ”
“อือ”
ภายในรถเงียบสนิท มีเพียงเสียงสะอื้นของส้มและเสียงแอร์ของรถยนต์ที่กำลังทำงาน สายตาอันฝ้าฟางของยายฝายทอดมองออกนอกหน้าต่างด้วยแววตาที่ว่างเปล่า เหลือบมองหลุมศพของอดีตแฟนเก่าที่มีเงาของมนุษย์ยืนอยู่ข้างๆ ลางๆ
“ขอบคุณนะฝาย ขอบคุณแกจริงๆ”
เสียงแว่วในโสตประสาทหูไม่ได้ทำให้ยายฝายตกใจหรือเอ่ยพูดประโยคใดๆ ออกมา แกแค่หลับตาแล้วเอนหลังพิงกับพนักพิงอย่างเงียบๆ
หวังว่าวันพรุ่งนี้ ทุกอย่างจะดีกว่าเดิม
บุญท่วม นโรจน์
ชาตะ 17 พฤษภาคม 2476
มรณะ 8 กรกฎาคม 2568
ยายฝาย บุญประเสริฐ
ชาตะ 17 พฤษภาคม 2479
มรณะ 20 กรกฎาคม 2568
โฆษณา