27 พ.ย. เวลา 06:00 • ปรัชญา
ความเห็นตามกระทู้นี้ อาจจะทำให้ทัวร์ "พุทธลูกผสม" มาลงที่เราก็ได้นะคะ^^
1
1. บทความใดๆ อะไรก็ตาม ที่หยิบเอาศัพท์แสงคำว่า "จักรวาล" มาใช้ ล้วนมีรากมาจากศาสนาฮินดูทั้งสิ้น ศาสนาฮินดูเชื่อในเรื่องอาตมัน หรือตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์และสัตว์ ที่ไม่เกิด ไม่ดับ ไม่สูญหาย เพียงแต่เปลี่ยนร่างเหมือนเปลี่ยนเสื้อผ้า ซึ่งจะตรงกับความเชื่อคนพุทธลูกผสม เรื่อง "ตายแล้วมีวิญญาณ มีผี ตายแล้วเกิดใหม่ จุดธูปเชิญวิญญาณ พากลับบ้าน บลาๆ"
ฮินดูบอกว่า จักรวาลจัดสรรสิ่งต่างๆ หรือสร้าง environment ทั้งหมด เพื่อให้มนุษย์ได้เรียนรู้ เพราะอาตมัน คือส่วนหนึ่งของพรหมัน และพรหมันก็คือ "ความจริงสูงสุดของจักรวาล" ดังนั้น ตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์ทุกคน จึงเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล ไม่ได้แยกออกจากจักรวาล ไม่ได้สูญหายไปไหนเลย
และก็เป็นที่มาของวลี
"จงวางใจในจักรวาล"
1
2. ศาสนาพุทธสอนว่า "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" เมื่อมีเกิดเป็นธรรมดา ย่อมมีดับฉับพลันทันใด เป็นธรรมดา เพราะทนอยู่ไม่ได้ เป็นเรื่องธรรมดา ต้องดับไปในที่สุดเป็นที่แน่แท้ และเมื่อดับแล้ว ก็ไม่เหลือเลย ไม่เหมือนเดิมอีกเลย และเฉพาะคำว่า "อนัตตา" นี่เอง ที่แสดงให้เห็นว่าคำสอนพุทธ ไม่เชื่อในเรื่องอาตมัน ของฮินดู!
พุทธปฏิเสธเรื่อง "ตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์" พุทธจึงยืนอยู่บนหลักการ อนัตตา คือความไม่มีตัว ไม่มีตน เมื่อมีเกิด เพราะมีเหตุให้เกิด แต่เมื่อเกิดแล้วดับ ไม่กลับมาเหมือนเดิมอีก แม้ขณะที่ยังไม่ตาย จิตแต่ละดวงเกิดดับไม่รู้เท่าไหร่ นับครั้งไม่ถ้วน เมื่อตาย จิตเกิดดับสืบสายต่อเนื่อง แต่ไม่ใช่วิญญาญหรือผี ไม่ต้องจุดธูป รับรู้ไม่ได้! การสืบสายต่อเนื่องของจิตนี้เอง ที่เป็นเหตุผลว่า จิดสุดท้ายก่อนตายสำคัญอย่างไร หรืออีกนัยหนึ่ง จิตใต้สำนึก (ได้รับการสะสมดีชั่วมาอย่างไร จึงมีผลต่อจิตสุดท้ายก่อนตายนั่นเอง)
3. ฮินดูจึงบอกว่า ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ล้วนเกิดจากจักรวาลแห่งพรหมัน และ gods หรือ deities ที่รังสรรค์ไว้สำหรับมนุษย์ (เขียนว่า god หรือ gods ซึ่งจะต่างจาก God ในศาสนาคริสต์ หรืออิสลาม)
วลีหรูหราที่ว่า "การเข้าใจบทเรียนที่จักรวาลมอบให้" ไม่ต่างอะไรกับภาษาบ้านๆ ของปรัชญาการเรียนรู้ชีวิต มันหมายถึงว่า มันอยู่ที่คุณ ว่าจะมองเหตุการณ์ต่างๆอย่างไร เพื่อตัดสินใจอย่างไร และดำเนินชีวิตต่อไปข้างหน้าอย่างไร จะมองบวก มองสวย มองลบ หรือมองเป็นวิกฤติ หรือมองเป็นโอกาส
1
และ "การวางในใจจักรวาล" ก็ไม่ต่างอะไรกับการบอกให้คุณปล่อยวาง กับทุกๆ การตั้งคำถามที่ไม่อาจหาคำตอบได้ อาทิ เราเกิดมาทำไม ตายแล้วไปไหน ทำไมเราเกิดมาจน ทำไมคนๆนี้รวยกว่าเรา ทำไมเราจึงต้องรับผลกรรมต่างๆ ที่ไม่ได้ก่อไว้ ทำไมเราต้องมาใช้หนี้แทนคนอื่น หรือทำไมเราต้องหมดตัวเพราะผู้ชายคนนี้ หรือทำไมเราทำดีแทบตาย สุดท้ายเจ้านายไม่โปรโมท etc.
1
ไม่มีใครเลยจะรู้ได้ว่า
การเปลี่ยงแปลงจะดีขึ้นเสมอไปหรือไม่
เพราะศาสนาพุทธสอนว่า
ไม่มีสิ่งใดที่แที่ยงแท้ ล้วนเกิดดับฉับพลัน
ไม่มีใครที่จะรู้อนาคตได้เลยสักคน
จงหมั่นเจริญสติ เพื่อการตั้งรับในทุกๆเหตุการณ์
เพราะมนุษย์แต่ละคนมีดวงจิตสืบสายต่อเนื่องไม่หยุด
และยังร้อยรัดเข้าไว้ด้วยกัน
บนความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ต่างๆ
โฆษณา