27 พ.ย. เวลา 06:29 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
*ระหว่างชีวิตที่หยุดนิ่ง และบาดแผลที่ถูกปิดเงียบ…*
เรารู้ได้ไหมว่าอะไรควรรอให้ฟื้น และอะไรควรปล่อยให้ตาย?”
ในธรรมชาติ เห็ดรู้คำตอบนี้โดยไม่ต้องคิด
มันรู้ว่าตรงไหนควรฟื้นฟู
ตรงไหนควรปล่อยให้ย่อยสลาย
เพื่อให้ป่าเติบโตต่อ
แต่มนุษย์ไม่ใช่เห็ด
เราไม่มีสัญชาตญาณนั้นโดยกำเนิด
แต่เรามีสิ่งหนึ่งที่ธรรมชาติมอบให้เรามากกว่าสิ่งมีชีวิตอื่น
นั่นคือ ปัญญาที่สั่งสมผ่านมนุษย์รุ่นก่อน
นักคิดจำนวนมากเคยเดินผ่านพื้นที่ที่เจ็บปวด
และฝากแสงเล็ก ๆ ไว้ให้เราเก็บไปใช้เวลาหลงทาง
*สิ่งที่ควรปล่อยให้หยุด: อดีตที่ซ่อมไม่ได้*
หลายสิ่งที่เราเคยยึดถือ
มันหมดอายุไปนานแล้ว
แต่เรายังคงแบกมันเหมือนเป็นหน้าที่
เพราะเรากลัวพื้นที่ว่างของอนาคต
ดังที่ Thich Nhat Hanh บอกไว้:
> “คนเรายังเกาะความเจ็บปวด เพราะมันคือความคุ้นเคย แม้จะเป็นความทุกข์ก็ตาม.”
และคำเตือนที่ไม่ระบุชื่อแต่จริงเสมอว่า:
> “คุณจะเริ่มบทใหม่ไม่ได้ ถ้ายังอ่านบทเก่าอยู่นั่นเอง.”
*สิ่งที่ควรรอให้ฟื้น: ตัวเราเวอร์ชันใหม่*
เล่าจื๊อเตือนเราไว้อย่างเรียบง่ายว่า
> “เมื่อปล่อยสิ่งที่เราเป็น เราอาจกลายเป็นสิ่งที่ควรเป็น.”
ชีวิตมีฤดูกาลของมัน
บางเรื่องต้องหยุด
แต่บางเรื่องต้องฟื้น
บางความสัมพันธ์ต้องพัก
แต่บางความหวังกำลังเกิดขึ้นใหม่เงียบ ๆ
ดังที่ Einstein ว่าไว้:
> “ชีวิตเหมือนการขี่จักรยาน—เราจะทรงตัวได้ ก็เมื่อเรายังเคลื่อนไหว.”
*Stoicism: ศาสตร์แห่งการวางอดีตไว้ตรงที่มันควรอยู่*
Stoicism สอนเราว่า
เราไม่ได้ถูกกำหนดโดยสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา
แต่ถูกกำหนดโดย วิธีที่เราเลือกตอบสนองต่อมัน
Epictetus เคยเป็นทาส
แต่เขาไม่ยอมให้สภาพนั้นเป็นกรงของชีวิต
เขาวางอดีตลงอย่างสงบ
แล้วเติบโตเป็นครูของจักรวรรดิโรมัน
นี่คือตัวอย่างของมนุษย์ที่รู้ว่า
อะไรควรหยุด และอะไรควรฟื้น
*บทสรุป
มนุษย์ไม่รู้หรอกว่าอะไรควรปล่อยให้ตาย
และอะไรควรปล่อยให้มีชีวิตใหม่
แต่การเดินตามรอยผู้ที่เคยผ่านความเจ็บ
ทำให้เราพอมองเห็นว่า—
> สิ่งที่ควรหยุด คืออดีตที่ทำร้ายเราแม้เราจะผ่านมันมาแล้ว
สิ่งที่ควรฟื้น คือปัจจุบันที่รอให้เราเริ่มใหม่อย่างเงียบ ๆ
อดีตนั้นใจดีเสมอ
มันปล่อยเราไปทุกครั้งที่เรายอมวางมัน
และอนาคตก็ใจกว้างเสมอ
มันพร้อมเปิดที่ว่างให้เราเสมอ เมื่อเราก้าวออกไป
2
โฆษณา