สรุป 3 สิ่งที่ควรเช็ก ก่อนเคลมประกัน รถ บ้าน โดนน้ำท่วม ในโพสต์เดียว
สถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ในภาคใต้ ตอนนี้หลาย ๆ พื้นที่ปริมาณน้ำก็เริ่มลดลงแล้ว ทำให้ผู้คนสามารถเข้าไปสำรวจความเสียหายของทรัพย์สินต่าง ๆ ได้แล้ว
ซึ่งสำหรับผู้ที่ทำประกันของสินทรัพย์อย่างรถยนต์และบ้านไว้ ก็หมายมั่นว่าจะได้รับการเยียวยาจากบริษัทเจ้าของกรมธรรม์
เพียงแต่ว่า การเคลมประกัน เพื่อรับเงินสินไหมเยียวยา มาเป็นค่าซ่อมบ้าน ซ่อมรถ ก็ต้องทำให้ถูกตามขั้นตอนด้วย
แล้วมีเรื่องอะไรที่เราควรต้องรู้ เพื่อเคลมประกันบ้านและรถยนต์ที่เสียหายจากการโดนน้ำท่วมบ้าง ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
1. เช็กแบบประกันว่าคุ้มครองน้ำท่วมหรือไม่
สำหรับรถยนต์ ถ้าเป็นประกันชั้น 1 มักจะคุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากภัยธรรมชาติอยู่แล้ว ซึ่งก็รวมไปถึงน้ำท่วมด้วย
แต่สำหรับประกันชั้น 2+ หรือ 3+ ต้องตรวจสอบในกรมธรรม์ดูให้ดี ว่าประกันที่เรามีนั้นคุ้มครองความเสียหายจากน้ำท่วมหรือไม่
เพราะไม่ใช่ประกันชั้น 2+ และ 3+ ทุกแผนประกันจะคุ้มครองความเสียหายจากน้ำท่วม
นอกจากนี้ถ้าจะเคลมประกันรถยนต์ได้ ความเสียหายจากน้ำท่วมที่เกิดขึ้น จะต้องไม่ใช่การขับรถลุยน้ำท่วม เข้าไปในถนนที่ภาครัฐประกาศแจ้งเตือนไว้อยู่แล้ว ว่ามีความเสี่ยงภัยน้ำท่วม
ถ้าเป็นแบบนั้นบริษัทประกันภัยก็มีสิทธิ์จะไม่รับพิจารณาการเคลมประกันรถยนต์ได้
ส่วนบ้านที่อยู่อาศัยนั้น ประกันที่ครอบคลุมเรื่องน้ำท่วม หลัก ๆ แล้วจะมี 2 ประเภทคือ
- ประกันภัยบ้านแบบครบวงจร
ที่ไม่ได้คุ้มครองแค่ความเสียหายจากภัยธรรมชาติอย่างน้ำท่วมเท่านั้น แต่ยังคุ้มครองถึง เหตุไฟไหม้, ฟ้าผ่า, ระเบิด, บ้านโดนยานพาหนะชน และเหตุการณ์ไม่คาดฝันอีกมากมาย
- ประกันอัคคีภัยแบบพ่วงประกันน้ำท่วม
ที่เป็นประกันอัคคีภัยที่มีสัญญาเพิ่มเติมเป็นความคุ้มครองในด้านของน้ำท่วม
2. เช็กจำนวนเงินที่เคลมได้
สำหรับรถยนต์ คปภ. ได้ออกเกณฑ์ในการประเมินค่าเสียหายแบ่งออกเป็น 5 ระดับ
- ระดับ A ท่วมถึงพื้นรถยนต์ ประเมินค่าซ่อม 8,000 - 10,000 บาท
- ระดับ B ท่วมถึงเบาะนั่ง หรือ ระบบไฟฟ้า ประเมินค่าซ่อม 15,000 - 20,000 บาท
- ระดับ C ท่วมถึงส่วนล่างคอนโซลหน้า ประเมินค่าซ่อม 25,000 - 30,000 บาท
- ระดับ D ท่วมถึงส่วนบนคอนโซลหน้า ประเมินค่าซ่อมเริ่มต้น 30,000 บาทขึ้นไป
- ระดับ E ท่วมทั้งคัน บริษัทประกันภัยจะคืนทุนประกันภัยให้เลย
และในอีกกรณีหนึ่งก็คือ ถ้าหากค่าซ่อมรถเกิน 70% ของมูลค่ารถ บริษัทประกันภัยก็อาจพิจารณาคืนทุนประกันภัยได้เช่นกัน
โดยสำหรับทุนประกันชั้น 1 ส่วนใหญ่จะอิงกับราคาตลาดของรถยนต์ที่ทำประกันอยู่ ในขณะที่ชั้น 2 และ 3 จะเป็นทุนประกันแบบกำหนดมาเป็นจำนวนเงินตายตัว เช่น 100,000 บาท เป็นต้น
ส่วนบ้านที่อยู่อาศัย จะสามารถเคลมตามมูลค่าความเสียหายจริงได้เลย แต่ไม่เกินทุนประกัน หรือ วงเงินที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ ที่เราต้องไปตรวจสอบดูอีกที
3. เช็กหลักฐานและเอกสารประกอบการเคลม
เมื่อติดต่อบริษัทประกันพร้อมแจ้งเหตุแล้ว ก็เตรียมหลักฐานและเอกสารประกอบการเคลม โดยทั้งของบ้านและรถยนต์จะใช้คล้าย ๆ กัน ประกอบไปด้วย
- หลักฐานความเสียหายระหว่างน้ำท่วมและน้ำลด โดยอาจจะเป็นภาพถ่ายหรือวิดีโอ
ถ้าจะให้ดีควรเห็นป้ายทะเบียนรถสำหรับรถยนต์ และเห็นบ้านเลขที่ สำหรับบ้านที่อยู่อาศัย
- หนังสือคำร้องขอสินไหมทดแทน
- สำเนาบัตรประชาชน
- สำเนากรมธรรม์ประกันภัย
- สำเนาใบขับขี่ และสำเนาใบทะเบียนรถ สำหรับรถยนต์ และสำเนาทะเบียนบ้าน สำหรับบ้านที่อยู่อาศัย
เตรียมครบทั้งหมดแล้วก็ส่งเอกสารเพื่อขอเคลมประกันได้เลย โดยหลังจากนี้บริษัทประกันภัยอาจจะมีการขอเอกสารอื่น ๆ เพิ่มเติมภายหลัง เช่น ใบเสนอราคาซ่อมแซมบ้าน เป็นต้น
นอกจากนี้สิ่งที่ต้องระวังสำหรับรถยนต์ก็คือ อย่าพึ่งรีบนำไปซ่อม ให้เจ้าหน้าที่ประกันจะมาตรวจสอบประเมินความเสียหายก่อน เพื่อจะได้รู้ว่า เราจะต้องเอารถไปซ่อม หรือจะได้เงินจากทุนประกันเลย
รวมถึงอย่าสตาร์ทรถซ้ำอีกครั้งหลังน้ำลด เพราะถ้ารถยนต์พังกว่าเดิม ในบางครั้งประกันอาจจะไม่รับผิดชอบในส่วนนี้ เพราะถือว่าเสียหายจากการใช้งานหลังน้ำท่วม
ส่วนบ้านที่อยู่อาศัยนั้น สามารถซ่อมแซมบรรเทาความเสียหายเล็ก ๆ น้อย ๆ พร้อมทำความสะอาด เพื่อให้อยู่อาศัยได้
แต่ไม่ต้องถึงขั้นซ่อมบ้านครั้งใหญ่ หรือเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ใหม่หมด จนหาร่องรอยความเสียหายแทบไม่เจอ
ทั้งนี้หากมีปัญหาในการเคลมประกันน้ำท่วม สามารถติดต่อ สายด่วน คปภ. 1186 รวมทั้งสำนักงาน คปภ. ในพื้นที่ได้เลย
สุดท้ายนี้ทาง MONEY LAB ก็ขอเป็นกำลังใจให้กับเพื่อน ๆ ที่ประสบภัยจากน้ำท่วมในช่วงเวลานี้
และหวังว่าบทความนี้จะสามารถช่วยให้ เพื่อน ๆ ทุกคนเข้าใจการขั้นตอนการเคลมประกันได้อย่างถูกต้อง ไม่มากก็น้อย พร้อมได้รับเงินสินไหมสำหรับซ่อมแซมทรัพย์สินของตนเอง อย่างสะดวกและรวดเร็วต่อไป..
#วางแผนการเงิน
#ประกัน
#น้ำท่วม
- 38
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
