1 ชั่วโมงที่แล้ว • คริปโทเคอร์เรนซี

ทางสองแพร่งของ Bitcoin : เจาะลึกโดมิโนที่อาจพังตลาดคริปโต และตัวเร่งที่อาจจุดรอบใหม่ต้นปีหน้า

ในช่วงที่ผ่านมา ตลาดคริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) โดยเฉพาะ Bitcoin ได้เผชิญกับความผันผวนอย่างหนัก คำถามสำคัญที่นักลงทุนต่างให้ความสนใจคือ ตลาดกำลังจะไปในทิศทางใด? ดร.เอ็ม (อุดมศักดิ์) ผู้เชี่ยวชาญจากเพจติดเล่าเรื่องลงทุน ได้ให้มุมมองเชิงลึกถึงปัจจัยที่กดดันตลาดในช่วงเดือนตุลาคม และโอกาสในการฟื้นตัวในช่วงปลายปีต่อเนื่องถึงต้นปีหน้า
➖ [ ถอดรหัสสาเหตุที่ตลาดร่วงแรงในเดือนตุลาคมจนถึงตอนนี้ ]
ดร.เอ็มชี้ว่า การร่วงลงของตลาดในเดือนตุลาคมมีปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน โดยปัจจัยหลัก ๆ ที่สร้างแรงเทขายมหาศาลนั้น ได้แก่:
1. วัฏจักรตามทฤษฎี (The Old Cycle): ตามทฤษฎีเก่าของ Bitcoin ที่จะวิ่งทุก 4 ปี หลังจากการ Halving ช่วงเวลาประมาณ 1 ปีครึ่งหลัง Halving มักจะเป็นจุดสูงสุดของตลาด
ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวมาถึงในเดือนตุลาคมนี้ นักลงทุนจำนวนมากที่ติดตามทฤษฎีนี้จึงมีการ "Take Profit" โดยเริ่มลดขนาดการลงทุนตั้งแต่เดือนตุลาคม ทำให้เกิดแรงเทขายสะสม
2. การกลับลำของ Fed: การส่งสัญญาณของ Fed ที่อาจจะไม่ลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม ซึ่งก่อนหน้านี้ตลาดได้ Price In (คาดการณ์ล่วงหน้า) ว่าจะลดดอกเบี้ยถึง 90% การที่โอกาสในการลดดอกเบี้ยพลิกกลับเหลือเพียง 30 กว่าเปอร์เซ็นต์ ได้สร้างแรงกดดันต่อตลาดอย่างรุนแรง
3. ข่าวเรื่องการถอด MicroStrategy (MSTR) ออกจาก Index: JPMorgan เผยว่า MSCI กำลังพิจารณากฎใหม่ที่จะถอดบริษัทที่ถือสินทรัพย์ดิจิทัลเกิน 50% ของงบดุลออกจากดัชนีอ้างอิงโดยมี MicroStrategy (MSTR) อยู่ในจุดเสี่ยงที่สุด เพราะถือครอง BTC มากถึง 649,870 BTC
ดร.เอ็มเชื่อว่าเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ เนื่องจากกองทุนรวม (Index Fund) ที่อ้างอิงดัชนีต่าง ๆ จะต้อง Rebalance โดยการเทขายหุ้น MSTR ออก
4. การเคลียร์ภาษีของนักลงทุนสหรัฐฯ: ในช่วงปลายปีและต้นปี นักลงทุนในอเมริกาจะนิยม Tax Loss Harvesting เพื่อเคลียร์ภาษี ดร.เอ็มระบุว่า ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ราคา Bitcoin บน Exchange สหรัฐฯ อย่าง Coinbase มักจะถูกกว่า Exchange อื่นทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งแปลว่ามีแรงเทขายที่ Coinbase จำนวนมาก เนื่องจากปีนี้เป็นปีที่เงินสถาบัน (Traditional investors) เข้ามาในคริปโตและ ETF เยอะ
5. ปัญหากองทุนและการถอนเงิน: เมื่อตลาดลงแรงในรอบแรก (ช่วงวันที่ 10 เดือน 10) ส่งผลให้ NAV ของกองทุนหลายแห่งติด Drawdown สูงมาก นักลงทุนจึงตัดสินใจถอนเงินออกจากกองทุน ทำให้บริษัทกองทุนต้องไป Liquidate (ขาย) สินทรัพย์ ออกมาเพื่อคืนเงินแก่นักลงทุน
➕ [ สัญญาณบวกและปัจจัยที่รอการกระตุ้น ]
แม้จะมีปัจจัยลบมากมาย แต่ดร.เอ็มมองว่า ขณะนี้ตลาดอยู่ในทางสองแพร่ง และคาดการณ์ว่าตั้งแต่ปลายปีนี้ไปจนถึงไตรมาส 1 ปีหน้า อาจจะมี "อีกรอบ" ของตลาดขาขึ้น
.
ปัจจัยบวกและแนวโน้มสำคัญที่กำลังจะมาถึง:
.
1. วัฏจักรที่ยาวขึ้น (The Extended Cycle): เนื่องจากนักลงทุนสถาบันเข้ามาถือครอง Bitcoin อย่างจริงจัง กรอบเวลาในการลงทุนจึงเปลี่ยนไป วัฏจักร 4 ปี อาจจะไม่มีอีกแล้ว และมีโอกาสสูงที่จะขยายเป็น 5-6 ปี แทน โดยนักลงทุนส่วนใหญ่มองว่า Q1 หรือ Q2 ปีหน้า อาจจะเป็นจุดสูงสุดที่แท้จริงของตลาด
2. การปรับลดดอกเบี้ยจริง : ปัจจุบันที่ราคาขึ้นเป็นการ Price In การคาดการณ์ว่า Fed จะลดดอกเบี้ย แต่ "เอฟเฟกต์" ของการลดดอกเบี้ยจริง (ที่เงินจะไหลเข้าสู่ระบบ) ยังไม่เกิดขึ้น คาดว่าจะมีจังหวะที่ดอกเบี้ยลดลงจริง ๆ และเริ่มปล่อยเงินสู่ระบบ ตรงนี้อาจจะพาไปต่อได้
3. การปล่อยเงินจาก TGA: รัฐบาลสหรัฐฯ มีเงินในบัญชี TGA (Treasury Government Account) อยู่ในระดับสูงมาก เนื่องจากในช่วงที่เกิด Shutdown รายได้ยังเข้าแต่รายจ่ายจ่ายไม่ได้ การที่รัฐบาลจะนำเงินก้อนนี้ออกมาใช้จ่ายในอนาคต จะเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยให้เงินไหลเข้าสู่ระบบ
4. การสะสมที่ไม่เคยหยุด (Accelerated Accumulation): แม้ราคาจะร่วงลง แต่จำนวน Wallet ที่ไม่เคยโอน Bitcoin ออก(มีแต่เอาเข้า) กลับพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และมีการเก็บด้วย "อัตราเร่ง" แสดงว่าคนที่เชื่อมั่นใน Bitcoin ยังคงซื้อเก็บอย่างต่อเนื่อง
5. อุปทานที่หายไป (Supply Shock): ปริมาณ Bitcoin และ Ethereum ที่อยู่บน Exchange ทั่วโลก ลดลงด้วยอัตราเร่ง โดยหายออกไปเก็บใน Hardware Wallet (กระเป๋าเก็บส่วนตัว) ปกติแล้วเมื่อตลาดร่วง Bitcoin มักจะถูกโอนเข้า Exchange เพื่อรอขาย แต่เทรนด์ปัจจุบันกลับสวนทาง ดร.เอ็มระบุว่าปริมาณซัพพลายที่พร้อมขาย (บน Exchange) เหลืออยู่น้อยมาก ณ ตอนนี้ หากมีปัจจัยกระตุ้นให้เงินไหลเข้ามาราคาก็จะถูกผลักดันอย่างรวดเร็ว
ดร.เอ็มเลยสรุปว่า Bitcoin ตอนนี้แค่รอปัจจัยบางอย่างที่จะเข้ามาให้วิ่งขึ้น เพราะผู้คนยังอยากเข้าลงทุน แต่ยังไม่มีข่าวที่เป็นปัจจัยกระตุ้น
🎯 [ คำแนะนำในการลงทุนและความเสี่ยงที่ต้องจับตา ]
ดร.เอ็มมองว่าการลงทุนในช่วงนี้ควรเป็น "Good Bet" (การเดิมพันที่ดี) และเป็นการเล่นสั้น โดยมีเป้าหมายเป็นเงื่อนไข ไม่ใช่เป้าหมายราคา
สำหรับนักลงทุนที่มีของอยู่แล้ว : ผู้ที่ถือมาตั้งแต่แรก ควรถือโอกาส **Take Profit ออกมาบ้าง**
สำหรับนักลงทุนที่ไม่มีของ/มีเงินสด: ดร.เอ็มมองว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่เหมาะแก่การทยอยเก็บ (สะสม) เงินบางส่วนที่สามารถเสียได้ แต่การเข้าซื้อตอนนี้คือการ ‘เล่นสั้น’ โดยคาดว่าจะเริ่มทยอยออกหมดในช่วงต้นปีหน้า (Q1)
⚠️ ความเสี่ยงสำคัญที่ต้องเฝ้าระวัง (ปัจจัยโดมิโน):
1. สถานการณ์ MicroStrategy: หาก MSTR ถูกถอดออกจากดัชนีจริง ๆ (ไม่เป็นเพียงแค่ข่าวลือ) อาจเป็น "จุดจบของรอบนี้" ได้ ดร.เอ็มกังวลว่า หากราคาหุ้น MSTR ลงเละ จะทำให้บริษัทไม่สามารถระดมทุนเพื่อซื้อ Bitcoin เพิ่มได้อีก และอาจถูกบีบให้ต้องขาย Bitcoin ออกบางส่วนเพื่อจ่ายเงินคืน กลายเป็นโดมิโนตัวแรกที่ล้มพาจบรอบได้
2. การล้มของบริษัทใหญ่: ต้องจับตาดูว่าเหตุการณ์ร่วงหนักเมื่อวันที่ 10/10 ได้ทำให้กองทุนหรือบริษัทใด "มีแผล" ข้างในที่ยังไม่ยอมบอกหรือไม่ หากมี "ตัวแรกแตก" ขึ้นมา ราคา Bitcoin จะลงเละและอาจจบรอบ (ดร.เอ็มเชื่อว่ามีคนมีแผลแล้ว แต่อาจจะยังลงไม่ลึกพอ หาก Bitcoin ลงไปถึงประมาณ 60,000 เหรียญ อาจจะเริ่มเห็นชัด)
🪙 [ อนาคตระยะยาว: สู่การเป็นสินทรัพย์ตามวัฏจักรเศรษฐกิจ ]
ในระยะยาว คุณเอ็มคาดการณ์ว่า วัฏจักร 4 ปีจะสิ้นสุดลงอย่างถาวร และตลาดจะเปลี่ยนไป:
* ความรุนแรงลดลง: การจบของรอบถัดไป ราคาอาจจะไม่ลงแรงถึง 70-80% เหมือนที่เคยเจอ เพราะเงินที่เข้าถือครองเป็น เงินสถาบัน/บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งมีกำลังถือทน (Hold) ได้มากกว่านักลงทุนทั่วไป
* การเคลื่อนไหวตามเศรษฐกิจ: หลังจากการเปลี่ยนแปลงนี้ Bitcoin น่าจะเคลื่อนไหวตาม Economic Wave (วัฏจักรเศรษฐกิจ) จะมีการยุบ ๆ พอง ๆ แต่ความรุนแรงของการขึ้นลงจะน้อยลง
* การเข้าสู่จุดอิ่มตัว: ตลาด Bitcoin ปัจจุบันมีขนาดใหญ่มากแล้ว การที่จะเกิดเวฟใหญ่รอบใหม่ (เหมือนที่เคยเกิดขึ้น) ต้องอาศัยเหตุการณ์ที่ใหญ่กว่าเดิมมาก เช่น การที่ Bitcoin กลายเป็น "National Reserve" ของประเทศใหญ่ๆ ไปเลย ซึ่งอาจจะไกลในอนาคต
สำหรับใครก็ตามที่อยู่ในตลาดคริปโตฯ เวลานี้ ควรจับตามองข่าวและเหตุการณ์เหล่านี้เอาไว้ให้ดี เพราะเป็นช่วงที่กำลังผันผวน เหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งอาจจะกระตุ้นให้ไปทางบวกอีกสักรอบ หรือปิดรอบได้เลยเช่นเดียวกัน
ปล. บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นบางส่วนและไม่ใช่คำแนะนำในการลงทุน การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดใช้ความระมัดระวัง วิจารณญาณ รวมถึงวางแผนที่เหมาะสมกับตัวเองเสมอ
#MakeRichGeneration #aomMONEY
โฆษณา