วันนี้ เวลา 08:00 • หนังสือ

เลิกผัดวันประกันพรุ่งทางการเงิน ด้วยหลักการ “กินกบตัวนั้นซะ”

จากหนังสือขายดีระดับโลก “Eat That Frog!” ของ Brian Tracy
การบริหารเงินส่วนบุคคลมักถูกมองว่าเป็นเรื่องของตัวเลขหรือสูตรคณิตศาสตร์
แน่นอนว่ามันก็จริงอยู่ แต่โดยพื้นฐานลึกๆ แล้ว มันมันยังเกี่ยวข้องกับนิสัย การตัดสินใจ และวินัยในตัวเอง เช่นเดียวกับการจัดการเวลาหรือโครงการที่ยุ่งยากเหมือนกัน
ในหนังสือ Eat That Frog! ของ Brian Tracy (ชื่อภาษาไทยว่า กินกบตัวนั้นซะ) เสนอแนวคิดง่าย ๆ ว่า “กบ” คือภารกิจที่สำคัญและยากที่สุดประจำวัน ซึ่งเรามักจะผัดวันประกันพรุ่ง ไม่ยอมทำที ทั้งๆ ที่ถ้าลงมือจัดการมันก่อนสิ่งอื่น คุณจะลดความเครียดและเพิ่มผลลัพธ์ได้
หลักการของหนังสือเล่มนี้สามารถเอามาประยุกต์ใช้กับการเงินส่วนบุคคล เพื่อช่วยให้เรามีแผนการเงินที่ชัดเจนและลงมือทำได้จริงเช่นเดียวกัน
Tracy อธิบายว่าการ “กินกบ” หมายถึงการรับมือกับงานที่ยากที่สุดก่อน ในมุมการเงินส่วนบุคคล กบของคุณอาจเป็นการจัดทำงบประมาณ การจัดการหนี้ หรือการสร้างกองทุนฉุกเฉิน หากปล่อยให้ภาระเหล่านี้คั่งค้างจะยิ่งเป็นสาเหตุให้ผัดวันประกันพรุ่งและทำให้ปัญหาหนักขึ้น
บทเรียนจากหนังสือยังเน้นความสำคัญอีกอย่างหนึ่งเมื่อเรากินกบได้สำเร็จ ความรู้สึกภาคภูมิใจหลังทำสิ่งสำคัญกระตุ้นให้เราเริ่มและจบงานที่สำคัญต่อไปได้ง่ายขึ้น
พูดอีกอย่างคือเมื่อเราทำสิ่งที่ยากไปแล้ว ส่วนที่เหลือจะง่ายขึ้นกว่าเดิมเพราะมีกำลังใจนั่นเอง
Tracy เตือนว่าความสำเร็จที่ยั่งยืนไม่มีทางลัด การฝึกฝนอย่างมีวินัยและทำซ้ำเป็นกุญแจสำคัญสู่การพัฒนาทักษะที่จำเป็น และควรโฟกัสกับงานใหญ่ทีละงาน เพราะการรับมือหลายเรื่องพร้อมกันอาจทำให้สมองเหนื่อยล้า
สุดท้ายคือลงมือทำทันที สิ่งที่ขาดไปมักไม่ใช่ความคิดหรือแผน แต่คือการลงมือทำจนจบ นั่นคือแนวคิดหลักที่เราจะนำมาปรับใช้กับการเงิน
🐸 [ ระบุ “กบ” ในการเงินของคุณ ]
💰 - ทำบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สิน
ขั้นแรกของการจัดการเงินคือการรู้ภาพรวมทั้งหมด บทความของ Investopedia แนะนำให้ทำบัญชีแยกทรัพย์สินและหนี้สินในตารางหรือสเปรดชีต และจัดหมวดหมู่ เช่น บัญชีเงินฝาก บัญชีเกษียณต่าง ๆ บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล ฯลฯ การเห็นข้อมูลทั้งหมดอย่างชัดเจนคือการ “กินกบ” ตัวแรก เพราะช่วยให้รู้ว่าจุดอ่อนหรือจุดเสี่ยงอยู่ที่ไหน
💰 - สร้างงบประมาณด้วยหลัก 50/30/20
เมื่อเห็นภาพรวมแล้ว ขั้นต่อมาคือการแบ่งรายได้และค่าใช้จ่าย
แนะนำให้เริ่มด้วยกฎง่ายๆ อย่าง 50/30/20 ซึ่งแบ่งรายได้หลังหักภาษีเป็น
50%: ค่าใช้จ่ายจำเป็นในชีวิตประจำวัน เช่น ค่าเช่าที่อยู่อาศัย ค่าอาหาร ค่าน้ำค่าไฟ ค่าเดินทาง ฯลฯ
30%: ค่าใช้จ่ายในการให้รางวัลตัวเอง เช่น ค่าความบันเทิง การท่องเที่ยว การซื้อของที่อยากได้ ฯลฯ
20%: สำหรับการออมและลงทุน เพื่อเป็นเงินสำรองฉุกเฉิน หรือเพื่อเป้าหมายในอนาคต เช่น ซื้อบ้าน ซื้อรถ เกษียณอายุ ฯลฯ
วิธีนี้มีความยืดหยุ่น (ควรปรับให้เข้ากับภาระและความรับผิดชอบของเราด้วย) และช่วยให้เรายังใช้จ่ายสิ่งที่ชอบได้แต่ไม่ลืมการออม บางคนอาจจะออมได้ไม่ถึง 20% ไม่ควรหยุดพยายาม การออมเล็กน้อยดีกว่าไม่ออมเลย
1
💰 - “จ่ายให้ตัวเองก่อน”
แนวคิด pay yourself first หรือ “จ่ายให้ตัวเองก่อน” เป็นหลักการสำคัญในวงการการเงิน เป็นการกระตุ้นให้คุณนำเงินส่วนหนึ่งจากรายได้ไปสะสมในบัญชีออมทรัพย์หรือการลงทุนก่อนจ่ายค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เพื่อให้เงินออมเติบโต
ที่จริงแล้วจุดมุ่งหมายคือการทำให้การออมและการลงทุนเป็นสิ่งแรกในชีวิตประจำเดือนก่อนใช้จ่ายกับสิ่งฟุ่มเฟือย วิธีนี้ช่วยสร้างนิสัยการออมอย่างสม่ำเสมอและลดความเครียดเพราะมีเงินสำรองสำหรับอนาคต
และอีกอย่างคือถ้าหาเงินมาแล้วเอาไปใช้จ่ายหรือใช้หนี้จนหมดทุกเดือน โดยไม่เห็นเงินออมหรือสินทรัพย์ของตัวเองเพิ่มเลยมันจะหมดกำลังใจเอาได้ง่ายๆ
💰 - สร้างกองทุนฉุกเฉินอย่างเป็นระบบ
ข้อมูลล่าสุดที่มีการรวบรวมมาพบว่า ประมาณ 22% ของคนไทยมีเงินสำรองฉุกเฉิน “ตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป” (ข้อมูลปี 2022) ลดลงจาก 27% ในปี 2020 และ 24% ในปี 2018 ตามการสำรวจ ธปท.-สสช. ที่ PIER สรุปไว้เมื่อ 14 ส.ค. 2567
เงินในกองทุนฉุกเฉินขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของแต่ละคน อย่างข้าราชการ งานมั่นคงหน่อยก็อาจจะ 3-6 เดือน พนักงานเงินเดือนทั่วไปอาจจะ 6-12 เดือน แต่ถ้าเป็นฟรีแลนซ์เก็บไปเลย 12 เดือน++ เพราะความไม่แน่นอนสูงมาก
ใช้หลักการ SMART (Specific, Measurable, Achievable, Relevant, Time-bound) เป็นเครื่องมือที่ดี ตัวอย่างเช่น “ออมเงิน 100,000 บาทภายใน 18 เดือนเพื่อเป็นเงินสำรองฉุกเฉิน” เป็นเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง วัดผลได้ และมีเวลาแน่นอน ซึ่งต่างจาก “อยากมีเงินเยอะ ๆ” ที่คลุมเครือ
การสร้างนิสัยในการออมควรเริ่มจากการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน จัดระบบการฝากเงินอย่างสม่ำเสมอ และเฝ้าดูความคืบหน้า นอกจากนี้เราควรจะกินกบโดยการตั้งการโอนเงินอัตโนมัติหรือการแบ่งส่วนเงินเดือนระหว่างบัญชีเช็คและบัญชีออมทรัพย์เพื่อให้การออมเกิดขึ้นโดยไม่ต้องตัดสินใจทุกครั้ง
💰 - จัดการหนี้อย่างมีแผน
หนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงคือ “กบ” ที่หลายคนไม่อยากเผชิญ แต่การปล่อยไว้จะทำให้หนี้สะสมสูงขึ้น วิธีการแบบ debt avalanche ที่จ่ายขั้นต่ำทุกบัญชี แล้วนำเงินส่วนเกินไปจ่ายหนี้ที่ดอกเบี้ยสูงที่สุดก่อน เมื่อหนี้นั้นหมดจึงไปสู่หนี้ดอกเบี้ยรองลงมา
ข้อดีคือช่วยลดดอกเบี้ยรวมและทำให้หมดหนี้เร็วขึ้น อย่างไรก็ตามวิธีนี้ต้องอาศัยวินัยสูงและควรมีเงินสำรองอย่างน้อยหกเดือนก่อนจะทุ่มเงินทั้งหมดไปจ่ายหนี้
หากรู้สึกว่ามันเครียดเกินไป คุณอาจลองใช้ debt snowball เพื่อสร้างแรงจูงใจ ให้ความสำคัญกับการชำระยอดหนี้ที่น้อยที่สุดก่อน ในขณะที่ยังคงชำระขั้นต่ำสำหรับหนี้อื่นๆ เมื่อหนี้ก้อนเล็กที่สุดหมดไป คุณจะนำเงินที่เคยจ่ายหนี้ก้อนนั้นไปสมทบกับหนี้ก้อนที่เล็กที่สุดถัดไป
กฎ 80/20 หรือหลัก Pareto ระบุว่า 80% ของผลลัพธ์มาจากเพียง 20% ของสาเหตุ แนวคิดนี้สอนให้เราโฟกัสบนกิจกรรมที่สร้างผลกระทบสูงสุด ถ้านำมาประยุกต์กับการเงินส่วนบุคคล จะพบว่ามีไม่กี่ปัจจัยที่ส่งผลต่อความมั่นคงทางการเงินมากที่สุด เช่น การลดค่าใช้จ่ายใหญ่ ๆ (ที่อยู่อาศัย การเดินทาง) ชำระหนี้ดอกเบี้ยสูง และลงทุนอย่างมีวินัย การปรับปรุงปัจจัยหลักเหล่านี้อาจช่วยเพิ่มคุณภาพทางการเงินได้มากกว่าการตัดรายจ่ายเล็ก ๆ หลายรายการ
การใช้กฎ 80/20 ยังช่วยให้จัดลำดับ “กบ” ได้ง่ายขึ้น เช่น หากค่าเช่าหรือค่าผ่อนบ้านเกินกว่า 50% ของรายได้ คุณอาจต้องพิจารณาย้ายที่อยู่หรือรีไฟแนนซ์เพื่อให้ลดภาระ การปรับรายการใหญ่เพียงไม่กี่รายการอาจให้ผลลัพธ์มากกว่าการตัดเล็กน้อยหลายสิบรายการ
💰 - กินกบทีละตัว
หลักการ “กินกบ” ในทางการเงินไม่ได้หมายความว่าคุณต้องทำทุกอย่างพร้อมกัน แต่หมายถึงการเลือกภารกิจที่สำคัญที่สุดและลงมือทำก่อน เช่น หากคุณไม่มีเงินฉุกเฉินเลย นั่นคือกบตัวใหญ่ที่ต้องจัดการ
การเริ่มโอนเงินบางส่วนเข้าบัญชีออมทรัพย์ทันทีหลังเงินเดือนออกคือการกินกบนั้น หากคุณมีหนี้บัตรเครดิตหลายใบ การวางแผนชำระหนี้ดอกเบี้ยสูงก่อนคือการกินกบอีกตัวหนึ่งและเมื่อคุณจัดการกบตัวหนึ่งได้แล้ว คุณจะมีพลังและความมั่นใจในการทำงานต่อไป เช่น เริ่มลงทุนเพื่อเกษียณหรือวางแผนซื้อบ้าน
หลักการนี้ยังช่วยลดความเครียดเพราะคุณไม่ได้วิ่งวุ่นกับงานหลายอย่างพร้อมกัน แต่โฟกัสกับงานใหญ่ทีละงาน การทำสำเร็จทีละขั้นตอนสร้างวงจรป้อนกลับที่เป็นบวกตามที่ Tracy อธิบาย เมื่อคุณรู้สึกดีและเห็นความคืบหน้า สมองจะหลั่งเอ็นดอร์ฟินและทำให้มีพลังทำสิ่งสำคัญต่อไป
และแน่นอนอย่าลืมติดตามการใช้จ่ายอย่างสม่ำเสมอ เช่น ทบทวนรายการเดินบัญชี รายการใช้จ่าย และหาทางลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น จะช่วยให้คุณรู้ว่าตัวเองอยู่ตรงไหนและต้องปรับปรุงอะไรด้วย
📌 [ สุดท้ายแล้ว ]
การจัดการเงินส่วนบุคคลไม่ใช่แค่การบวก–ลบตัวเลข แต่เป็นการสร้างนิสัย การกำหนดเป้าหมาย และการลงมือทำ
หนังสือ *Eat That Frog!* ของ Brian Tracy ชี้ให้เห็นว่าการเริ่มต้นทำงานที่สำคัญที่สุดก่อนและทำให้เสร็จช่วยให้เรามีผลิตภาพสูงขึ้นและหลีกเลี่ยงการผัดวันประกันพรุ่ง หลักการนี้นำมาปรับใช้กับการเงินได้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการทำบัญชีและสร้างงบประมาณ การจ่ายให้ตัวเองก่อน การสร้างกองทุนฉุกเฉิน การจัดการหนี้ หรือการตั้งเป้าหมายทางการเงิน การใช้กฎ 80/20 เพื่อโฟกัสกับปัจจัยที่สร้างผลลัพธ์สูงสุด และการตรวจสอบความคืบหน้าอย่างสม่ำเสมอ ล้วนช่วยให้การเงินมั่นคงขึ้น
สิ่งสำคัญที่สุดคือการลงมือทำทันที แม้คุณจะเริ่มจากก้าวเล็ก ๆ แต่การสั่งสมพฤติกรรมดี ๆ เหล่านี้จะช่วยให้อนาคตทางการเงินของคุณแข็งแรงและบรรลุเป้าหมายได้อย่างยั่งยืน
#aomMONEY #MakeRichGeneration #การเงินส่วนบุคคล #แนวทางการเงิน #EatThatFrog #BrianTracy
โฆษณา