30 พ.ย. เวลา 09:23 • ศิลปะ & ออกแบบ
หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร

“บ้า น จับพระจันทร์”

13 พฤศจิกายน 2568 - 15 กุมภาพันธ์ 2569
ณ หอศิลป์วัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC)
คือนิทรรศการที่รวบรวมผลงานของ ชาติชาย ปุยเปีย อย่างครบถ้วนเป็นครั้งแรก นำเสนอทั้งชิ้นงานสำคัญและงานหายากที่ไม่ค่อยถูกเผยแพร่ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ชมได้ติดตามเส้นทางชีวิตทางศิลปะของเขาอย่างลึกซึ้ง นิทรรศการครั้งนี้จึงเป็นเสมือนการย้อนเดินในเส้นทางความคิดและชีวิตศิลปิน
และให้ผู้ชมได้เข้าใกล้โลกทัศน์อันซับซ้อน ลุ่มลึก และเปี่ยมอารมณ์ของเขามากที่สุดเท่าที่เคยมีมา ผ่านพัฒนาการทางความคิดและภาษาทางศิลป์ที่สั่งสมมาตลอดช่วงเวลาที่ทำงานศิลปะ ภาษาที่ขับเน้นประเด็นสังคม ความทรงจำ และอัตลักษณ์ซึ่งกลายเป็นหัวใจ
ของผลงานตลอดชีวิตของเขา
ชาติชาย ปุยเปีย เกิดปี1964 ที่จังหวัดมหาสารคาม เป็นหนึ่งในศิลปินร่วมสมัยไทยที่มีบทบาทสำคัญที่สุดคนหนึ่ง เขาจบการศึกษาด้านจิตรกรรม จากคณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ช่วงที่ศึกษาอยู่ เขาได้รับรางวัลศิลปกรรมหลายครั้ง รวมถึง รางวัลเหรียญเงิน รุ่นเยาว์ (เหรียญเงินศิลปกรรมแห่งชาติ ประเภทเยาวชน) ก่อนจะเริ่มสร้างผลงานศิลปะอย่างจริงจัง
ผลงานของชาติชายมีพัฒนาการเด่นชัด ทั้งในภาษาภาพและความคิด เริ่มตั้งแต่งานนามธรรม งานกึ่งเหมือนจริงไปจนถึงรูปแบบที่ได้รับการพูดถึงอย่างมากคือ “Thai Magic Realism” ซึ่งผสมผสานความจริงและจินตนาการเพื่อสะท้อนสังคมและอัตลักษณ์ไทยร่วมสมัย เขามักใช้ “ภาพตัวเอง” และ “ภาพนิ่ง” เป็นพื้นที่ทดลองความคิดทางสังคม การประชดเสียดสี และการตั้งคำถามต่อสถานะของศิลปิน รวมถึงบทบาทของผู้คนในสังคมไทย
"จับประตู" โซนแรกของนิทรรศการ
"จับประตู"
ก้าวแรกของนิทรรศการเริ่มต้นจากประตูห้องขนาดประมาณสิบตารางเมตรที่ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นเหมือน “ห้องรับรอง” เล็กๆ ในบ้านของชาติชาย ปุยเปีย
พื้นที่แห่งนี้เต็มไปด้วยเศษเสี้ยวของชีวิตที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นตัวตนของศิลปิน ทั้งหนังสือ บุหรี่ที่สูบค้าง พู่กัน เศษโมเดล ของสะสมชิ้นเล็ก และจดหมายเก่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่ข้าวของ แต่เป็นร่องรอยที่บันทึกความคิด ความทรงจำ และแรงขับเคลื่อนที่ผลักให้เขาก้าวสู่เส้นทางศิลปะ
ย้อนกลับไปสู่ปี พ.ศ. 2526 ช่วงเวลาที่ชาติชายยังเป็นนักศึกษาศิลปกรรมรุ่น40 ของมหาวิทยาลัยศิลปากรและกำลังค้นหาตัวเองท่ามกลางการเรียนการสอนที่เข้มข้น เขาเติบโตจากสายวาดกายวิภาค การสเกตช์ และการฝึกมืออย่างสม่ำเสมอ จนกลายเป็นรากฐานสำคัญในงานที่เรารู้จักในวันนี้
ห้องเล็กๆแห่งนี้เป็นพื้นที่ที่ทำให้ผู้ชม “เข้าใจตัวศิลปิน” ผ่านชีวิตจริง วิธีคิด ความช่างอ่าน ความใคร่รู้ และความมุ่งมั่นที่ปรากฏอยู่ทุกมุมของห้อง เหมือนได้เดินเข้าบ้านใครสักคน ได้มองโลกผ่านสายตาของเขา ก่อนที่นิทรรศการจะพาผู้ชมก้าวต่อไปสู่เรื่องราวบทใหญ่ของ
“การจับพระจันทร์”
"จับ พระจันทร์"
"จับ พระจันทร์"
ย้อนไปเมื่อ ชาติชาย ปุยเปีย ศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 3 เขาได้รับรางวัลศิลปกรรมรุ่นเยาว์ เป็นภาพที่เขียนบนผ้าใบ แสดงออกถึงฝีมือและแนวคิดอันเป็นเอกลักษณ์ ต่อมาหลังเรียนจบ เขากลับหันมาสร้างสรรค์งานในรูปแบบ Abstract และ Mixed Media เพื่อพิสูจน์แนวคิดบางอย่างที่พลิกสไตล์การทำงานของเขา สิ่งเหล่านี้คือรากฐานสำคัญที่หล่อหลอมให้เขากล้าที่จะ "สวนกระแส" กลับมาสู่จิตรกรรมแบบดั้งเดิมในภายหลัง แม้ในช่วงเวลาที่วงการศิลปะกำลังให้ความสำคัญกับงานแนวอื่น
หนึ่งในผลงานที่โดดเด่นอย่าง “ยิ้มสยาม” ผลงานจิตรกรรมแบบเหมือนจริงที่ผสมผสานการเขียนแบบเหนือจริง โดยเฉพาะการใช้โทนสีและบรรยากาศ ซึ่งมีเนื้อหาเสียดสีสังคมแบบตลกร้ายผ่านรอยยิ้มของคนไทย ความบริโภคนิยม และวิพากษ์วิจารณ์ด้านมืดของสังคม โดยใช้การแสดงออกทางสีหน้าด้วยอารมณ์ขันเกินจริง
ณ ความความพิศวง เมื่อได้ก้าวเข้ามาในห้องแห่งนี้ แสงสีเหลืองที่กระทบลงบนผลงาน เป็นการเน้นยํ้าความสนใจประเด็นต่างๆที่ชาติชายสนใจ
ยิ้มสยามพุทธรักษา
ยิ้มสยามพุทธรักษา วงการศิลปะในประเทศอย่าง ไทยที่ยังไม่ได้มีการพัฒนาเท่าทันหลายประเทศที่ไปไกลแล้ว อีกนัยนึงก็กล่าวถึง ศิลปินไทย ที่พยายามจะผลักดันให้เป็นที่ยอมรับ ซึ่งชาติชายก็ได้ตั้งคำถามอยู่บ่อยๆ
การติดตั้งงานในห้องค่อนข้างอยู่ระดับตํ่า เพราะต้องว่าการให้คนดูรู้สึกได้ถึงเหมือนโดนถูกจ้อง สายตาคนดูก็รู้สึก เหมือนมองกลับไปที่ดวงตาในรูปเหมือนกัน
"The lonely painter" ชุดผลงานในห้องนี้เป็นการวาดและค่อยๆลดทอนอวัยวะ
Playing Infanta Magarite
ผลงานเซ็ตนี้ได้แรงบัลดาลใจมาจากวรรรกรรมของ Carson McCullers, เป็นนักเขียนชาวอเมริกัน กล่าวถึง ความเหงาของชาติชายในระหว่างการทำงานที่รู้สึกโดดเดี่ยว และได้มีการเอาหัวตัวเอง และใส่หัวของ Pope franicis ไปแทนเป็นการกล่างถึงวงการประวัติศาสตร์ศิลป์ตะวันตก เพื่อสื่อว่าตัวชาติชายเองก็สนใจศิลปะแบบอื่นด้วย ในรูปมีองค์ประกอบของจดหมายอยู่ จึงเกิดเป็นคำถามว่า เกิดอะไรขึ้นกับชาติชาย หรือ อาจเป็นจดหมายรัก
Origin of all trouble in the world
ต้นเหตุของปัญหาทุกอย่างเกิดขึ้นจากสิ่งนี้ ก็คือผู้ชายหรือไม่ เป็นการตั้งคำถาม ซึ่งชาติชายตั้งใจสร้างสรรค์งานชิ้นนี้ เพื่อล้อกับผลงานThe origin of the world ของ Gustave courbet
ภาพคนครึ่งตัวใต้โคมไฟ กล่าวถึงความตายทางจิต ผู้คนเข้ามาและก็ผ่านไป และความตายที่สื่อสารผ่านผีเสื้อ the auothor is dead - การให้คนดูไปคิดต่อเอง
ประติมากรรมที่เลียนแบบมาจากท่านั่งของคุณปู่ และ คุณพ่อ ของชาติชายเพื่อแสดงถึงอาการไม่แยแสของโลกที่กำลังสนใจศิลปะยุคใหม่ เช่นศิลปะจัดวาง หรือศิลปะร่วมสมัย เพราะตัวชาติชายก็ยังจะวาดรูปบนเฟรมอยู่เหมือนเดิม ว่า ‘แล้วจะทำไมวะ จะทำแบบนี้แหละ’
"Catch the fire"
บนเส้นทางการเป็นศิลปิน ชาติชายได้สร้าง “โลกอุดมคติขนาดเล็ก” ขึ้นจากพื้นที่สามัญรอบตัว พื้นที่ซึ่งมนุษย์สามารถพึ่งพาความสุขที่ตนเองสร้างได้ โลกใบนั้นกลายเป็นพื้นที่สำหรับการสร้างสรรค์งานศิลปะ เพื่อถ่ายทอดมุมมองของเขาที่มีต่อโลกและสังคมในแต่ละห้วงเวลา ท่ามกลางความโกลาหลของโลกสมัยใหม่ ซึ่งสะท้อนผ่านภาพร่างของตัวศิลปินที่นอนไขว้ห้างอย่างไม่แยแสต่อกองเพลิงที่ลุกโชนรอบตัว
ผลงานของชาติชายจึงไม่ใช่การหลีกหนีความจริง หากแต่คือการจัดวางความจริงในรูปแบบหนึ่งที่พอจะอยู่ร่วมกับมันได้อย่างสงบ ภายใต้ความเชื่อว่าไม่ว่ามนุษย์จะเผชิญปัญหาใด การทำงานศิลปะยังคงเป็นทั้งทางออกและพื้นที่ปลอดภัย ที่ช่วยพยุงให้ชีวิตสามารถดำเนินต่อไปได้เสมอ
"จับเวลา,รำไร"
ห้องจัดแสดงนี้ได้รวบรวมผลงานของชาติชายจากหลากหลายช่วงเวลาในเส้นทางการเป็นศิลปิน เสมือนการจับจังหวะเวลาที่ทับซ้อนกัน อดีต ปัจจุบัน และความลังเลที่ยังไม่ถูกตัดสิน ความเป็นตัวตนของศิลปินจึงค่อยๆ ปรากฏออกมาผ่านร่องรอยของแนวคิด วัสดุ และท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา รำไร ไม่ชัดเจน หากแต่ดำรงอยู่
จับเวลา,รำไร
ประติมากรรมขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านบริเวณหน้าห้อง ทำหน้าที่เป็นจุดหยุดและจุดตั้งคำถามของพื้นที่ทั้งหมด ประติมากรรมชิ้นนี้กล่าวถึง “ความรัก” ในความหมายที่แตกต่างไปจากความเข้าใจทั่วไป มิใช่ความรักแบบอุดมคติ หากแต่คือความรักในเงินตรา พลังที่ขับเคลื่อนโลกศิลปะร่วมสมัยอย่างแยบยล สอดคล้องกับถ้อยคำเตือนที่ว่า “ความรักในเงินตราเป็นต้นเหตุแห่งความชั่วทั้งปวง”
ร่างของศิลปินที่ปรากฏในผลงานอยู่ในท่าก้มมองลอดใต้หว่างขาของตนเอง ราวกับกำลังพยายามพิสูจน์หรือสำรวจความจริงบางอย่างที่ถูกซ่อนเร้น เมื่อมองบนร่างนั้น จะพบกับบันไดที่ทอดยาวลงสู่เส้นทางแห่งความเสื่อม เส้นทางที่ดูเหมือนไม่มีจุดสิ้นสุด เปรียบเสมือนวงจรของความโลภ ความอยากครอบครอง และระบบการแลกเปลี่ยนที่ลดทอนคุณค่าของศิลปะลงเหลือเพียงตัวเลข
ภายในบริบทนี้ ห้อง “จับเวลา, รำไร” จึงไม่เพียงตั้งคำถามต่อศิลปิน หากแต่ตั้งคำถามต่อผู้ชม ตลาด และสถาบันศิลปะทั้งหมด หากการซื้อขายผลงานศิลปะปราศจากความหลงใหล และถูกขับเคลื่อนด้วยความโลภเป็นหลัก ศิลปะนั้นจะยังคงมีความหมายใดหลงเหลืออยู่หรือไม่
การเดินทางและความทรงจำ
สำหรับอีกหนึ่ง Highlight ของนิทรรศการในครั้งนี้ คือโซนที่จะพาทุกคนไปย้อนรอยเรื่องราว และทำความรู้จักกับ “ชาติชาย ปุยเปีย” ให้มากยิ่งขึ้น
ห้องจำลองสีชมพู แสดงถึงภาพความสัมพันธ์ระหว่าง “โชน ปุยเปีย” ผู้เป็นลูกชาย กับชาติชาย ผู้เป็นพ่อ ผ่านเสื้อผ้าที่ทั้งคู่ได้มีโอกาสสร้างสรรค์มาด้วยกัน เหมือนเป็นการสื่อสารความทรงจำ และช่วงเวลาที่ได้ใช้ร่วมกัน
Rich Tapestry-X ผลงานชิ้นใหม่ของชาติชาย เป็นการกลับมาบอกเล่าเรื่องราว และ มุมมองการใช้ชีวิตของเขาในวัย 60 ปี ภายหลังจากผลงานที่เคยจัดแสดงในนิทรรศการ “หลงหูหลงตา (2544)” สะท้อนภาพชีวิตมนุษย์ ที่ติดอยู่ในวังวนของความโลภ เวลา ความกลัว และความตาย ผ่านภาพที่มีรายละเอียดและเรื่องราวที่สลับทับซ้อนกัน แอปเปิ้ลสัญลักษณ์ของการล่อลวง อลิซที่ยืนอยู่อีกฝั่งของดินแดนมหัศจรรย์ เนื้อเพลงพรหมลิชิต เพลงร็อค และวังวนธรรมจักรที่มีลักษณะคล้ายกับแผ่นเสียงที่เขาได้ฟังตลอดมา
พื้นที่พักใจ ของ ชาติชาย ปุยเปีย
มาถึงโซนสุดท้ายของนิทรรศการ ที่จะพาทุกคน ไปสัมผัสกับบรรยากาศ ในพื้นที่เสมือนชุมชนหน้าบ้านของชาติชาย ที่มีทั้งกลิ่นอายความอบอุ่น เรื่องราว ที่บ่งบอกพื้นที่สำคัญในความทรงจำของตัวศิลปิน
Goodbye Yellow Brick Road (2568)
อีกหนึ่งผลงานที่น่าสนใจอย่าง Goodbye Yellow Brick Road ที่ถูกจัดวางไว้กลางลานกิจกรรม เป็นงานที่ชาติชายได้ทำร่วมกับ ฉัตรธำรงค์ ฉโลธพิเศษ
งานจิตรกรรมรูปแบบใหม่ ที่สะท้อนภาพมุมมองต่อระบบศิลปะและสังคมที่มีความซับซ้อนว่าตลอดการเดินทางในอาชีพศิลปินนั้น พบว่า “ศิลปะ” อาจไม่มีสิ่งอื่นที่มามีความสำคัญมันล้วนไม่มีแก่นสารอื่นใดเลย
ชาติชาย ปุยเปีย เป็นหนึ่งศิลปินที่เป็นพลังสำคัญของขอนเท็มโพรารี่ในชุมชนซอยโคลัมโบ เพราะนอกจากการสร้างแรงบันดาลใจแก่ผู้คนแล้วยังมีการสนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ อันทำให้ที่แห่งนี้มีจิตวิญญาน และมีชีวิต
ในฐานะนิทรรศการ “บ้า น จับพระจันทร์ ชาติชาย ปุยเปีย” ทำหน้าที่มากกว่าการทบทวนเส้นทางการทำงานของศิลปิน หากเป็นพื้นที่ให้ผู้ชมได้ทำความเข้าใจกระบวนการสร้างความหมายของศิลปะร่วมสมัยไทยผ่านสายตาและประสบการณ์เฉพาะของชาติชาย ผลงานชุดต่าง ๆ เผยให้เห็นความมุ่งมั่นของศิลปินในการตั้งคำถามต่อบรรทัดฐานของ “ความปกติ” โดยใช้ ภาพเหมือนตนเอง เป็นเครื่องมือในการคลี่คลายทั้งโครงสร้างอำนาจและความคาดหวังทางวัฒนธรรม
ขอขอบคุณ
หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
ภัณฑารักษ์ของนิทรรศการ บ้า น จับพระจันทร์
ที่เป็นส่วนหนึ่งทำให้บทความนี้สำเร็จลุล่วง
บทความออนไลน์นี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา
ART CRITICISM (3501416)
คณะผู้จัดทำ
นิสิตคณะศิลปกรรมศาสตร์ ภาควิชาทัศนศิลป์ ชั้นปีที่ 4
น.ส. กวิสรา เกรียงเกร็ด 6540001635
น.ส. ปุณยวีร์ ตระกูลกำเหนิดเหมาะ 6540017735
น.ส. พชรชนก ณ หนองคาย 6540018335
น.ส. พรหมชนิตา สุขุมาลพันธ์ 6540019035
น.ส. ภูตะวัน วัชรเกษมศักดิ์ 6540026335
น.ส. มุจลินท์ รุ่งเจริญพรพจี 6540030835
โฆษณา