1 ธ.ค. เวลา 08:35 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ทองคำขึ้น - Bitcoin ลง สะท้อนภาวะ “Risk-off”

นักวิเคราะห์มองราคาทองยังไปต่อได้ ด้าน Bitcoin แนะทยอยสะสมแบบ DCA
ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนถึงต้นธันวาคม 2025 ราคาทองคำพุ่งขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ Bitcoin ปรับฐานลงแรง
โดยข้อมูลล่าสุดชี้ว่า ราคาทองคำวันนี้อยู่ที่ราว USD 4,163.95 ดอลลาร์/ออนซ์ (+0.80%) ใกล้ระดับสูงสุดในรอบสองสัปดาห์ และกำลังมุ่งสู่การปิดบวกเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน
ในขณะที่ Bitcoin อยู่ราว 86,430 ดอลลาร์ ซึ่งลดลงแรงจากจุดสูงสุดราว 126,000 ดอลลาร์ ในเดือนตุลาคม 2025 และยังถูกขายต่อเนื่องในภาวะตลาด “Risk-off”
ทำไมทองถึงขึ้นแต่ Bitcoin ลง?
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ทองราคาขึ้น ได้แก่
1.ตลาดคาดการณ์ว่า Fed อาจลดดอกเบี้ยเร็วขึ้น
2.ตลาดโลกอยู่ในโหมด “หลบภัย” หรือ “risk-off”จากความเสี่ยงเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ยังสูง
3.ธนาคารกลาง–สถาบันซื้อยังคงทองอย่างต่อเนื่อง โดยความต้องการระยะยาวจากภาครัฐยังแข็งแรงมาก
ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เป็นแรงหนุนให้ราคาทองยังอยู่ในเทรนด์ขาขึ้น ทั้งระยะสั้นและกลาง
ด้าน Bitcoin ลงลดหลุดจากสูงสุด ด้วยสาเหตุหลักคือ
1.ตลาดกำลัง “ย่อยข่าว” หลังจากกระแส ETF และ Halving จบลง โดยก่อนหน้านี้คนแห่ซื้อ Bitcoin เพราะหวังว่าจะมีข่าวดีจาก Bitcoin ETF และ การ Halving ที่จะเกิดขึ้น แต่พอข่าวออกจริง กระแสกลับเริ่มซา ทำให้นักลงทุนจำนวนมากเริ่ม “ขายทำกำไร”
2.บรรยากาศลงทุนทั่วโลกเป็นโหมดระวังความเสี่ยง (Risk-off)
3.ช่วงนี้เงินใหม่ไหลเข้าตลาดน้อยลง ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ลดการถือครองสินทรัพย์ที่ผันผวนสูงก่อน เช่น Crypto
4.มีสัญญาณขายจากรายใหญ่ในตลาดคริปโต (On-chain data) โดยข้อมูลบนบล็อกเชนพบว่า “Whales” หรือผู้ถือ BTC จำนวนมากกำลังย้ายเหรียญเข้า Exchange ซึ่งปกติเป็นสัญญาณ เตรียมขาย
โบรกชั้นนำมองอย่างไรหลังการเคลื่อนไหวล่าสุด?
สำหรับแนวโน้มในอนาคตของทองคำ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังมีมุมมองบวกต่อความเคลื่อนไหวระยะยาว
Deutsche Bank ปรับคาดการณ์ราคาทองปี 2026 ขึ้นเป็น 4,450 ดอลลาร์/ออนซ์ (จาก 4,000 ดอลลาร์) และให้กรอบราคาที่ 3,950–4,950 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยมีแนวรับแถว 3,900 ดอลลาร์ และคาดว่าในปี 2027 อาจเห็นราคาทองแตะ 5,150 ดอลลาร์ โดยมีแรงสนับสนุนหลักจากความต้องการของธนาคารกลางและกองทุน รวมถึงความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจที่สูงขึ้น
HSBC มองว่าความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ยังสูงมาก ทำให้ทองยังคงทำหน้าที่เป็น “secure hedge” ที่แข็งแกร่ง เหมาะเป็นสินทรัพย์หลบภัยระยะกลาง–ยาว
Goldman Sachs มองว่ายังมีแนวโน้มการซื้อทองของธนาคารกลางต่อเนื่อง โดยคาดว่าราคาทองปลายปี 2026 อาจแตะ 4,900 ดอลลาร์/ออนซ์
กลุ่มนักวิเคราะห์เชิงเทคนิคหลายราย มองว่าราคาทองในระยะสั้นอาจมีความผันผวน แต่แนวโน้มยังดี ซึ่งหากราคายืนเหนือ 3,900–4,000 ดอลลาร์ได้ ก็มีโอกาสขึ้นไปแตะ 4,200–4,400 ดอลลาร์ แต่ถ้าหลุดแนวรับ อาจลงลึกถึง 3,500 ดอลลาร์
สำหรับ Bitcoin โบรกฯ ใหญ่อย่าง JPMorgan มองว่า แม้ว่าราคา Bitcoin จะปรับตัวลงอย่างมากจากจุดสูงสุดในเดือนตุลาคม 2025 (ราว 126,000 ดอลลาร์สหรัฐ) แต่ในตอนนี้ Bitcoin มีราคาถูกกว่าทองคำ โดยเฉพาะเมื่อนำความผันผวนของราคามาปรับเทียบ (volatility-adjusted basis)
JPMorgan ชี้ว่า การลดเลเวอเรจครั้งใหญ่ในตลาดฟิวเจอร์สคริปโต ช่วยกำจัดแรงเก็งกำไรส่วนเกินออกไป ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างฐานที่มั่นคงขึ้นสำหรับรอบถัดไป นอกจากนี้ มองว่าในช่วง 6–12 เดือนข้างหน้า Bitcoin อาจให้ผลตอบแทนดีกว่า ทองคำได้ เนื่องจาก Bitcoin เป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง (high beta) และผ่านการรีเซ็ตเลเวอเรจไปแล้ว
นักลงทุนควรทำอย่างไรตอนนี้?
จากข้อมูลทั้งหมด นักลงทุนสามารถแยกกลยุทธ์ตามสไตล์ความเสี่ยงได้ชัดเจน
หากเป็น “นักลงทุนสายปลอดภัย”
-ทองยังเป็นสินทรัพย์หลักที่ช่วยกันความเสี่ย
-ความเห็นจาก โบรกฯ ใหญ่หลายรายสอดคล้องกันว่าทองมีโอกาสไปต่อ เหมาะสำหรับคนต้องการความมั่นคงของพอร์ต
-นักวิเคราะห์บางรายแนะนำให้เพิ่มสัดส่วนทองเป็น 5–15% ของพอร์ต
หากสนใจ โอกาสระยะยาวแบบที่ได้โอกาสรับผลตอบแทนสูง (ท่ามกลางความเสี่ยงสูง)
-Bitcoin เหมาะกับการสะสมแบบ DCA มากกว่าการไล่ราคา
-โดยราคา Bitcoin มีโอกาสกลับมาถ้าสถาบันเข้าซื้อและสภาพคล่องทั่วโลกดีขึ้น
-อย่างไรก็ตาม ให้ระวังแรงขายจาก whales และ on-chain supply
สรุป
การที่ทองขึ้น–Bitcoin ลงในช่วงนี้ ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เป็นภาพสะท้อนว่าโลกกำลังอยู่ในโหมดระวังความเสี่ยง สำหรับนักลงทุนรายย่อย สิ่งสำคัญไม่ใช่การทำนายราคาเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงการรู้บทบาทของแต่ละสินทรัพย์ในพอร์ตของเรา ทั้งนี้ พอร์ตที่ดีคือพอร์ตที่สมดุลและอยู่ได้ทุกสภาวะตลาด
โฆษณา