Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ธรรมะ คือ คุณากรณ์
•
ติดตาม
9 ธ.ค. เวลา 21:25 • ปรัชญา
watthakhanun
วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ เมื่อเช้ากระผม/อาตมภาพไปร่วมพิธีฉลองปริญญาบัตรของบัณฑิตและมหาบัณฑิตใหม่ วิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรี ศรีไพบูลย์ ซึ่งการฉลองปริญญาบัตรนั้นแสดงออกซึ่งความสำเร็จในการศึกษาก็จริง
แต่เป็นการศึกษาทางโลกซึ่งเรียนจบในแต่ละระดับ ไม่ได้หมายความว่าต้องหยุดอยู่กับที่ เนื่องเพราะว่าโลกหมุนไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราหยุดอยู่กับที่ก็เท่ากับถอยหลังแล้ว โดยเฉพาะบัณฑิต ซึ่งแปลตรงตัวว่าผู้รู้ดี ก็คือรู้ชัดแล้วว่าอะไรดี อะไรชั่ว จึงควรที่จะละชั่ว ทำดี ให้สมกับความเป็นบัณฑิตของตนเอง
โดยเฉพาะอย่าลืมบาลีที่ว่า ยถาวาที ตถาการี พูดอย่างไรเราต้องทำอย่างนั้น ยถาการี ตถาวาที ทำอย่างไรเราก็พูดอย่างนั้น ก็คือต้องมีคุณสมบัติของการเป็นคนตรง เป็นบุคคลที่สมควรแก่ฐานะ ไม่ใช่ว่าเป็นบัณฑิตแล้ว เราจะทำอะไรก็ได้ แล้วในขณะเดียวกัน ก็ต้องนำวิชาความรู้มาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวันให้มากที่สุด โดยเฉพาะถ้ามีโอกาสก็ต้องถ่ายทอดต่อให้กับบุคคลอื่น เพื่อที่ความรู้จะได้ไม่ถูกเก็บตายอยู่กับตนเอง
ดังนั้น..ในส่วนนี้จึงเป็นเรื่องที่บัณฑิตทั้งหลายจะต้องมีจิตสำนึกของตนเองด้วย โดยเฉพาะกว่าจะสำเร็จการศึกษามา ทั้งผู้บริหาร ทั้งครูบาอาจารย์ และบุคลากรของวิทยาลัยสงฆ์ ทุกคนล้วนแล้วแต่มีส่วนให้ท่านทั้งหลายสำเร็จการศึกษาทั้งสิ้น ภาษิตกะเหรี่ยงว่า "กินน้ำต้องไม่ลืมต้นน้ำ" ก็คือต้องเป็นบุคคลที่มีความกตัญญู รู้คุณที่คนอื่นทำแก่ตน และมีกตเวทิตา ก็คือต้องรู้จักตอบแทนความดีของคนอื่นด้วย
แล้วสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็ยังไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องทำโดยตรง เนื่องเพราะว่าส่วนใหญ่ก็คือนักบวช เป็นพระภิกษุสงฆ์ เป็นแม่ชี เป็นสามเณร เมื่อเรียนจบมา หน้าที่ของเราก็คือ ทำอย่างไรจะช่วยค้ำจุนพระพุทธศาสนาของเราให้เจริญมั่นคง ก็แปลว่าสิ่งที่ใจคิด สิ่งที่ปากพูด สิ่งที่กายทำ จะต้องผ่านการตรึกตรองมาเป็นอย่างดีแล้ว เหมือนกับที่ผู้รู้บางท่านให้แนวคิดไว้ว่า เราต้องคิดทุกอย่างที่จะพูด ไม่ใช่พูดทุกอย่างที่เราคิด
ดังนั้น..ถ้าหากว่าฐานะบัณฑิตในทางธรรม ก็ต้องเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ รู้ตัวอยู่เสมอว่า เราทำอะไร เพื่ออะไร ก็แปลว่าเราท่านทั้งหลาย ถ้าเรียนจบไปแล้วยิ่งอยู่ยากกว่าปกติ เพราะกลายเป็นบุคคลที่คนอื่นเขาสรรเสริญ ว่าเป็นผู้รู้ในเรื่องนั้น ๆ เราจะปล่อยให้ รัก โลภ โกรธ หลง ชักจูงเราเหมือนเดิมไม่ได้ เนื่องเพราะว่าถ้าเป็นบัณฑิตในทางธรรม ก็คือผู้ที่รู้เท่าทันกิเลส หักห้ามใจตนเองไม่ทำตามกิเลส คือความต้องการเฉพาะตัว และพยายามที่จะลด ละ เลิก ในสิ่งที่ชักจูงเราไปในทางต่ำอยู่เสมอ
การเรียนจบทางโลกจึงไม่ใช่การเรียนจบแล้วจบเลย แต่ต้องนำเอาความรู้นั้นมาก่อประโยชน์ให้แก่ตนเอง และหน่วยงานมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะตกอยู่ในลักษณะของอลคัททูปมปริยัติ ก็คือการเรียนแบบจับงูข้างหาง มีสิทธิ์ที่จะโดนงูกัด บาดเจ็บล้มตายอย่างแน่นอน..! เนื่องเพราะว่าถ้าเราเอาความรู้ไปทำสิ่งที่ชั่ว เราก็จะชั่วได้เนียนกว่าเดิม แต่ท้ายที่สุด ผลชั่วนั้นก็จะส่งผลให้เราเดือดร้อนในภายหลังจนได้..!
บัณฑิตที่แท้จริงจึงต้องเป็นบุคคลที่ละชั่วทำดีอยู่เสมอ โดยเฉพาะการพยายามรักษากำลังใจของตนให้มั่นคง ไม่ไหลไปตามกระแสกิเลส
การฉลองปริญญาบัตรซึ่งเป็นการแสดงความยินดีกันแบบโลก ๆ ก็เป็นเรื่องที่ชวนให้ดีใจและชื่นใจชั่วครั้งชั่วคราว ภาระใหญ่หลวงที่รอเราอยู่ข้างหน้า ก็คือ ทำตนอย่างไรจึงจะสมกับความเป็นบัณฑิต เป็นเรื่องที่เราต้องมีสำนึก ต้องระลึกรู้อยู่เสมอ
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๘
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย