13 ธ.ค. เวลา 01:00 • ไลฟ์สไตล์

★ บทความ : สาเหตุการณ์เกิดเดจาวู (Déjà Vu) – เมื่อความทรงจำและปัจจุบันซ้อนทับกัน

บทนำ : ความรู้สึกประหลาดที่มนุษย์ทุกคนเคยเจอ
เดจาวู (Déjà vu) เป็นปรากฏการณ์ที่เกือบทุกคนเคยประสบ ไม่ว่าจะเพียงสองหรือสามครั้งในชีวิต หรือบางคนเป็นบ่อยจนน่าคิดว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ความรู้สึกนี้มักอธิบายได้ว่า “เหมือนเคยผ่านมาแล้ว” หรือ “เหมือนเคยอยู่ตรงนี้มาก่อน” ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าไม่เคยมีเหตุการณ์นั้นจริง ๆ ความรู้สึกหลอน ๆ คล้ายการมองภาพเดิมซ้ำ ๆ โดยไม่มีต้นเหตุ ทำให้นักวิทยาศาสตร์ นักจิตวิทยา และผู้ที่สนใจศาสตร์ลี้ลับทั่วโลกพยายามศึกษา เพื่อหาว่าเบื้องหลังของความรู้สึกนี้คืออะไรกันแน่
บทความนี้จะพาคุณลงลึกถึง สาเหตุของเดจาวูจากทุกมุมมอง ไม่ว่าจะเป็น
ประสาทวิทยา
จิตวิทยา
ความทรงจำ
ฟิสิกส์เชิงจักรวาล
โลกคู่ขนาน
ความเชื่อทางศาสนา
ตำนานโบราณ
และทฤษฎีเหนือธรรมชาติที่มนุษย์ยังไขไม่ออก
ส่วนที่ 1 : เดจาวูในมุมมองวิทยาศาสตร์ – เมื่อสมองเล่นกลกับเรา
1.1 ความคลาดเคลื่อนของกระบวนการประมวลผล (Dual Processing Error)
สมองมนุษย์ทำงานด้วยระบบการประมวลผลแบบคู่ คือ
ระบบที่หนึ่ง: ประมวลผลแบบรวดเร็ว (Fast Pathway)
ระบบที่สอง: ประมวลผลแบบช้าแต่ละเอียด (Slow Pathway)
ทฤษฎีชี้ว่าเมื่อข้อมูลชุดหนึ่ง “ล่าช้า” ไปเพียงเศษเสี้ยววินาที ระบบช้าจะตามมาภายหลัง ทำให้สมองรู้สึกว่าภาพเดียวกันนี้ “เคยเห็นมาก่อน” เพราะมันเพิ่งถูกประมวลในระบบแรกไปแล้ว
นี่คือสาเหตุที่หลายคนรู้สึกว่า
“มันคุ้นมาก เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้ว”
1.2 การยิงสัญญาณประสาทผิดจังหวะ (Neural Misfiring)
ฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) เป็นส่วนของสมองที่ดูแลความจำระยะยาว ส่วนเยื่อหุ้มสมองกลีบขมับ (Temporal Lobe) เป็นพื้นที่ประมวลผลประสบการณ์ปัจจุบัน
นักประสาทวิทยาพบว่า ในบางช่วงสมองอาจส่งสัญญาณผิดจังหวะ ทำให้ เหตุการณ์ปัจจุบันถูกจัดเก็บลงในความทรงจำระยะยาวทันที เหมือนเราเคยประสบแล้ว ทั้งที่เพิ่งเกิดขึ้นตรงหน้า นี่เป็นสาเหตุเดจาวูที่ยอมรับมากที่สุดในปัจจุบัน
บางครั้งการยิงสัญญาณผิดจังหวะนี้เกิดเพราะ
ความเครียดสูง
พักผ่อนไม่เพียงพอ
การอดนอน
ความเหนื่อยล้าสะสม
ไมเกรน
และภาวะการเปลี่ยนระดับสารเคมีในสมอง
1.3 ความทรงจำที่คุ้นแต่จำไม่ได้ (Cryptomnesia of Memory Fragments)
สมองของคนเรามีความทรงจำจำนวนมากที่ถูกเก็บไว้อย่าง “ลึกมาก” หรือเคยเห็นเพียงเสี้ยวหนึ่ง เช่น
ภาพในโทรทัศน์ที่ไม่ตั้งใจดู
มุมของถนนที่คล้ายที่เคยผ่าน
กลิ่นอาหารที่เหมือนบ้านเก่า
เสียงของสถานที่ที่เคยได้ยินตอนเด็ก
เมื่อเจอเหตุการณ์คล้ายกัน สมองจะดึง “เศษความทรงจำ” เหล่านั้นขึ้นมา ทำให้รู้สึกว่าคุ้นเคยอย่างประหลาด และเกิดความรู้สึกเดจาวูทันที
1.4 กลไกการตรวจจับความคุ้นเคยของสมอง (Familiarity vs. Recollection)
สมองมีระบบตรวจจับความคุ้นเคยที่รวดเร็วมาก แต่ระบบดึงข้อมูลจากความจำจริง ๆ ทำงานช้ากว่า หากระบบคุ้นเคยทำงานก่อน เราจะรู้สึกว่า
“เคยเจอแน่นอน แต่จำไม่ได้ว่าที่ไหน”
จึงเกิดความรู้สึกประหลาดแบบเดจาวู
1.5 เดจาวูจากไมเกรน (Migraine Aura)
ผู้ที่มีอาการไมเกรนบางประเภท มักรายงานว่า “เดจาวู” เป็นสัญญาณก่อนเกิดอาการปวดหัวรุนแรง โดยเกิดจากการที่คลื่นไฟฟ้าในสมองเปลี่ยนแปลงกะทันหันจนทำให้รับรู้ผิดเพี้ยน
1.6 เดจาวูก่อนอาการลมชัก (Epileptic Déjà Vu)
ผู้ป่วยโรคลมชักบริเวณกลีบขมับ (Temporal Lobe Epilepsy) มักมีเดจาวูรุนแรงและมีรายละเอียดมาก เช่น
รู้สึกว่าตนนั่งอยู่ในสถานที่เดิม
บรรยากาศเหมือนเดิมทุกอย่าง
บางครั้งจำเหตุการณ์ที่ไม่มีอยู่จริงได้อย่างชัดเจน
เป็นรูปแบบที่แตกต่างจากเดจาวูทั่วไป และทางการแพทย์ถือว่าเป็น “อาการนำ” ของลมชัก
ส่วนที่ 2 : เดจาวูในเชิงจิตวิทยา – เมื่อจิตใต้สำนึกส่งสัญญาณถึงเรา
2.1 ความคุ้นเคยที่ก่อจากอารมณ์ (Emotional Familiarity)
บางครั้งสถานการณ์ตรงหน้ามีอารมณ์คล้ายอดีต เช่น
ความตื่นเต้น
ความกลัว
ความอบอุ่น
ความเศร้า
จิตใต้สำนึกจึงดึงความรู้สึกใกล้เคียงมา ทำให้เกิดความรู้สึกว่าเหตุการณ์คุ้นเคย
2.2 การจัดการกับข้อมูลมากเกินไป (Cognitive Overload)
เมื่อสมองทำงานหนัก เช่น
ทำงานหลายอย่างพร้อมกัน
อยู่ในสถานที่แปลกใหม่
อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีข้อมูลจำนวนมาก
สมองอาจสับสนระหว่างข้อมูลที่กำลัง รับ–กับ–เพิ่งรับ ไปเมื่อครู่ จึงก่อให้เกิดเดจาวูขึ้น
2.3 เดจาวูเป็นการเตือนของจิตใต้สำนึก
นักจิตวิทยาบางคนเชื่อว่า
เดจาวูเป็นสภาวะที่จิตใต้สำนึกกำลัง “จับสัญญาณสำคัญบางอย่าง”
เช่น
สถานการณ์นี้เคยคิดจะทำ
เหตุการณ์นี้คล้ายเหตุการณ์ที่เคยกลัว
เป็นจุดเปลี่ยนชีวิต
หรือกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ “ใช่” สำหรับคุณ
เหมือนเสียงเบา ๆ ในสมองบอกว่า
“หยุด แล้วมองเหตุการณ์นี้ให้ดี มันมีความหมายต่อชีวิตคุณ”
ส่วนที่ 3 : เดจาวูในมุมมองจักรวาล – ฟิสิกส์ที่อธิบายโลกคู่ขนาน
3.1 โลกคู่ขนาน (Parallel Universe Theory)
หนึ่งในทฤษฎีที่คนสนใจมากที่สุดคือ ความเชื่อว่าเดจาวูคือสิ่งที่เกิดจาก
ความทรงจำของตัวเราในอีกจักรวาลหนึ่งซ้อนทับเข้ามา
เช่น
ในโลกคู่ขนานคุณเคยมาที่สถานที่นี้จริง ๆ
เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน
เคยพูดประโยคนี้กับคนเดิม
เมื่อ “เส้นเวลา” ของสองจักรวาลเหลื่อมกันเพียงเสี้ยววินาที คุณจึงรู้สึกว่าเคยเกิดขึ้นแล้ว ทั้งที่ไม่เคยเกิดขึ้นในโลกนี้
แม้ยังไม่มีหลักฐาน แต่เป็นทฤษฎีที่สอดคล้องกับฟิสิกส์ควอนตัมหลายด้านที่พูดถึงการมีอยู่ของ “ความเป็นไปได้หลายประการพร้อมกัน”
3.2 การรั่วไหลของข้อมูลจากอนาคต (Time Slip Theory)
บางแนวคิดมองว่าเดจาวูคือการที่สมองจับ “ข้อมูลจากอนาคต” ได้ก่อนเสี้ยววินาที ทำให้รู้สึกว่าคุ้น ทั้งที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง
3.3 จักรวาลที่บันทึกทุกสิ่งไว้ (Akashic Records)
ปรัชญาบางสำนักเชื่อว่าโลกนี้มีฐานข้อมูลพลังงานที่เก็บทุกความทรงจำ ทุกเหตุการณ์ ทุกความเป็นไปได้ เมื่อกระแสพลังงานของเราสัมผัสฐานข้อมูลนี้โดยไม่ตั้งใจ เราจึงรับรู้ข้อมูลบางส่วน และเกิดความรู้สึกว่าเหตุการณ์นี้ “เคยเกิดขึ้นมาแล้ว”
ส่วนที่ 4 : เดจาวูในมุมมองศาสนา–จิตวิญญาณ
4.1 เดจาวูคือความทรงจำจากอดีตชาติ
ศาสนาพุทธ ฮินดู ทิเบต และศาสนาตะวันออกหลายแห่งเชื่อว่า
เดจาวูคือเศษความทรงจำของอดีตชาติที่ยังไม่หายไป
อย่างเช่น
เคยมาสถานที่ที่คล้ายกัน
เคยพบคนนี้มาก่อนในชาติอื่น
เคยถูกเหตุการณ์แบบนี้กระทบใจอย่างแรง
ความทรงจำเหล่านั้นฝังลึกในจิตใต้สำนึก เมื่อเจอเหตุการณ์คล้ายเดิม จึงเกิดความรู้สึกว่า “คุ้นมากอย่างบอกไม่ถูก”
4.2 เดจาวูคือการเปิดตาที่สาม (Third Eye Activation)
ในความเชื่ออินเดียและทิเบต บางคนมีเดจาวูในช่วงที่กำลัง
นั่งสมาธิเยอะ
มีความละเอียดอ่อนทางจิต
หรือกำลังตื่นรู้ทางจิตวิญญาณ
เชื่อว่าเป็นช่วงที่ประสาทรับรู้มิติที่สูงขึ้นทำงาน ทำให้รับข้อมูลที่ไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยห้าอวัยวะรับรู้ปกติ
4.3 เดจาวูคือการเตือนให้กลับสู่เส้นทางที่ถูกต้อง
ในบางลัทธิ จิตวิญญาณเชื่อว่าเดจาวูเป็น “สัญญาณจากเส้นทางชีวิต” หรือ Destiny Alignment เหมือนเป็นทางแยกสำคัญบางอย่าง และจักรวาลกำลังบอกว่า
“นี่คือเส้นที่คุณควรเดินต่อไป”
ส่วนที่ 5 : เดจาวูในมุมมองวัฒนธรรมและตำนานโบราณ
มนุษย์ทั่วโลกมีความเชื่อเรื่องนี้มาเป็นพันปี เช่น
ชนเผ่ามายาเชื่อว่า เดจาวูคือสัญญาณจากเทพ
ชาวอียิปต์โบราณคิดว่าเป็นการเชื่อมกับ “ความทรงจำแห่งดาว”
ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่า เป็นฝีมือของคามิที่ส่งสัญญาณเตือน
ชาวยุโรปยุคกลางเชื่อว่าเป็นร่องรอยของ “การเดินทางของวิญญาณขณะหลับ”
ทุกวัฒนธรรมล้วนให้ความหมายกับเดจาวูอย่างลึกซึ้ง เพราะมนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็เคยรู้สึกประหลาดนี้เหมือนกัน
ส่วนที่ 6 : ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดเดจาวู
6.1 ความเครียดและความกังวล
ทำให้สมองประมวลผลผิดพลาดง่าย
6.2 การพักผ่อนน้อย
ทำให้ระบบตรวจจับความคุ้นเคยทำงานลวงตา
6.3 การไปสถานที่ใหม่
สภาวะแปลกใหม่ทำให้สมองมีการเชื่อมโยงกับอดีตเพิ่มขึ้น
6.4 การใช้ชีวิตตามกิจวัตรเดิม
สิ่งที่คล้ายกันหลายวันอาจกระตุ้นให้เกิดเดจาวู
6.5 การรับกลิ่นหรือเสียงที่คล้ายกับความทรงจำ
ระบบรับกลิ่นเป็นช่องทางสำคัญของความทรงจำ
ส่วนที่ 7 : เดจาวูบอกอะไรเราได้?
แม้เดจาวูไม่ใช่เรื่องอันตราย แต่บางครั้งมันบ่งบอกว่า
คุณเหนื่อยเกินไป
คุณกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่สำคัญ
คุณเจอเหตุการณ์ที่คล้ายกับอดีตมาก
จิตใต้สำนึกกำลังเตือนอะไรบางอย่าง
หรือคุณกำลังเติบโตด้านจิตใจ
การเกิดเดจาวูเพียงครั้งคราวถือเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าเกิดบ่อยมากและมีอาการอื่นร่วม เช่น มึนงง ปวดหัวรุนแรง หรือหมดสติ ควรพบแพทย์
บทสรุป : เดจาวูยังคงเป็นความลับของมนุษย์
แม้มนุษย์มีเทคโนโลยีและงานวิจัยมากมาย แต่ก็ยังไม่สามารถอธิบายเดจาวูได้ครบถ้วน ทฤษฎีทางสมองเป็นคำอธิบายที่แข็งแรงที่สุด แต่ทฤษฎีทางจิตวิทยา จักรวาล และจิตวิญญาณก็มีเสน่ห์และยังไม่ได้ถูกพิสูจน์ว่า “ผิด” เช่นกัน
เดจาวูจึงเป็นเหมือนหน้าต่างเล็ก ๆ ที่เปิดให้เรามองเห็นว่า
จิตใจมนุษย์และจักรวาลยังเต็มไปด้วยความลับอีกมาก
โฆษณา