เมื่อวาน เวลา 04:14 • หุ้น & เศรษฐกิจ

เงินเดือน 15,000 ก็รวยล้านได้!

เปลี่ยน “เงินเดือนเล็ก” ให้กลายเป็น “ระบบการเงินที่โตเองได้” ผ่านการออกแบบกติกาเงินส่วนตัว และใช้เครื่องมืออย่าง Global ETF เป็นตัวช่วยให้ดอกเบี้ยทบต้นทำงานแทนแรงเราระยะยาว.
เงินเดือนน้อยไม่ใช่ปัญหา ถ้ามีกติกาเงินที่ชัด
หลายงานวิจัยด้านพฤติกรรมการออมของคนไทยพบตรงกันว่า คนที่ออม–ลงทุนได้สม่ำเสมอ ไม่ว่าจะรายได้ระดับไหน มักกันเงินราว 20–30% ของรายได้ไว้เป็น “เงินเพื่ออนาคต” อย่างมีวินัย และนี่คือจุดต่างสำคัญระหว่างคนที่การเงินนิ่งขึ้นเรื่อย ๆ กับคนที่เงินเดือนเพิ่มแต่แทบไม่มีทรัพย์สิน. คำแนะนำจากหน่วยงานการเงินก็สอดคล้องกันว่า การเริ่มออมให้ได้ประมาณหนึ่งในสี่ของรายได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ มีผลต่อความมั่นคงระยะยาวมากกว่าการรอให้รายได้สูงแล้วค่อยเริ่ม.
ดังนั้น จุดเริ่มต้นจึงไม่ใช่จำนวนเงิน แต่คือ “กติกาเงินส่วนตัว” ที่เราตั้งให้ตัวเอง เช่น ทุกเดือนต้องมีเงินไหลเข้ากองทุนอนาคตอย่างน้อย 20% โดยห้ามถอนออก เว้นแต่เหตุฉุกเฉินจริง ๆ. เมื่อกติกาเหล่านี้ถูกเขียนชัดและปฏิบัติตามต่อเนื่อง มันจะค่อย ๆ เปลี่ยนระบบการใช้เงินในชีวิต จากเดิมที่เงินหมดไปกับรายจ่ายระยะสั้น กลายเป็นมีเงินไหลเข้า “เครื่องผลิตทรัพย์สิน” ในทุก ๆ เดือน.
สูตรแบ่งเงินเดือน 3 กอง ทำง่ายแต่ทรงพลัง
หนึ่งในวิธีที่ทำตามได้จริงสำหรับคนเงินเดือนไม่มาก คือสูตรแบ่งเงินออกเป็น 3 กองใหญ่: ค่าใช้จ่ายจำเป็น, เงินสำรองฉุกเฉิน และเงินลงทุน/เป้าหมายระยะยาว.
ตัวอย่างเช่น
50–60% สำหรับค่าใช้จ่ายจำเป็น (บ้าน, อาหาร, เดินทาง, ค่าใช้จ่ายประจำ)
10–20% เป็นเงินสำรองฉุกเฉิน ค่อย ๆ สะสมให้ถึง 3–6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน
20–30% สำหรับออม–ลงทุนระยะยาว ซึ่งถือเป็น “เงินต้องห้ามใช้”
ข้อมูลจากแบบสำรวจพฤติกรรมการออมพบว่า คนไทยที่สามารถออมได้สม่ำเสมอมักจัดสรรใกล้เคียงสูตรนี้ โดยเฉพาะกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับการเกษียณ มักกันเงินเกือบครึ่งของเงินออมทั้งหมดไปอยู่ในกองทุนสำหรับวัยเกษียณโดยเฉพาะ. การแบ่งเงินแบบเป็นระบบช่วยให้เรามองเห็นชัดว่าแต่ละบาททำหน้าที่อะไร ลดการใช้เงินตามอารมณ์ และเปิดพื้นที่ให้เงินบางส่วนได้ทำงานระยะยาว แทนการหายไปกับความอยากชั่วคราว.
เปลี่ยนจาก “ตั้งใจออม” เป็น “ระบบออมอัตโนมัติ”
ปัญหาใหญ่ของคนจำนวนมากไม่ใช่ไม่เข้าใจว่าต้องออม–ลงทุน แต่คือ “ทำไม่ต่อเนื่อง” เพราะพึ่งแรงใจมากเกินไปในแต่ละเดือน. ทางออกคือเปลี่ยนจากโมเดล “เดี๋ยวเดือนนี้ลองหักเอง” เป็น “โมเดลระบบอัตโนมัติ” เช่น การตั้งตัดบัญชีอัตโนมัติไปยังกองทุนรวม/ETF ทุกวันที่เงินเดือนเข้า. วิธีนี้ทำให้เรา “จ่ายให้ตัวเองก่อน” โดยอัตโนมัติ แล้วค่อยใช้เงินที่เหลือ ทำให้ไม่ต้องนั่งตัดสินใจซ้ำ ๆ ว่าจะออมหรือไม่ออมทุกเดือน.
ในมุมจิตวิทยา การทำให้การออมกลายเป็นค่าใช้จ่ายประจำเหมือนค่าน้ำค่าไฟ ช่วยให้สมองไม่รู้สึกว่า “กำลังเสียสละอะไร” มากเท่ากับการต้องโอนเงินด้วยตัวเองในทุกครั้ง. เมื่อผ่านไป 1–2 ปี ขนาดของกองทุนออม–ลงทุนจะใหญ่ขึ้นอย่างชัดเจน ทำให้เจ้าของระบบเริ่มเห็นภาพว่า การออมแบบอัตโนมัติไม่ใช่คำสวยหรู แต่เป็นเครื่องจักรที่สร้างทรัพย์สินได้จริงในโลกของตัวเลข.
ทำความรู้จัก Global ETF: พอร์ตทั่วโลกในกองเดียว
เมื่อมีเงินลงทุนไหลเข้าเป็นระบบ คำถามต่อไปคือ “จะนำเงินไปวางตรงไหนให้คุ้มค่าที่สุดในระยะยาว โดยไม่ต้องเฝ้าจอทุกวัน” หนึ่งในคำตอบที่เติบโตเร็วในไทยช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คือการลงทุนผ่าน Global ETF ที่จัดพอร์ตหุ้นและตราสารหนี้ทั่วโลกให้โดยอัตโนมัติ. แนวคิดคือใช้ ETF ที่ลงทุนในดัชนีหุ้นและพันธบัตรคุณภาพดีจากหลายประเทศ หลายอุตสาหกรรม มารวมกันเป็นพอร์ตเดียวแล้วบริหารตามหลัก Modern Portfolio Theory เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่เหมาะสมกับความเสี่ยง.
แพลตฟอร์มอย่าง Jitta Wealth นำแนวคิดนี้มาทำเป็น “กองทุนส่วนบุคคล Global ETF” โดยคัดเลือก ETF ที่มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารสูง ต้นทุนค่าธรรมเนียมต่ำ และให้ผลตอบแทนใกล้เคียงดัชนีอ้างอิง เพื่อใช้แทนการที่นักลงทุนต้องไปเลือกหุ้น/กองเองทีละตัว. นักลงทุนเลือกเพียง “แผน” ที่ตรงกับระดับความเสี่ยง เช่น แผนเน้นเติบโต แผนสมดุล หรือแผนระมัดระวัง แล้วระบบจะจัดสัดส่วนหุ้น–ตราสารหนี้ให้เหมาะสม พร้อมปรับพอร์ตอัตโนมัติเมื่อสัดส่วนเบี่ยงออกจากเป้าหมายเกิน 5%.
พลังของดอกเบี้ยทบต้นในพอร์ต ETF ระยะยาว
หัวใจที่ทำให้การลงทุนแนวนี้ทรงพลัง คือ “ดอกเบี้ยทบต้น” หรือการที่ผลตอบแทนในแต่ละปีถูกนำกลับไปลงทุนต่อ ทำให้เงินต้นเติบโตแบบโค้งเร่งขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป. ตัวอย่างจากข้อมูลทั่วไปคือ ถ้าพอร์ตลงทุนสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 5–7% อย่างสม่ำเสมอ ในระยะเวลาราว 20–30 ปี เงินก้อนเล็ก ๆ ที่ลงทุนต่อเนื่องจะโตมากกว่าหลายเท่าตัวได้ แม้จะไม่ใช่ตัวเลขหวือหวาเหมือนเก็งกำไรระยะสั้น.
การลงทุนผ่าน ETF ทำให้เราได้ทั้งส่วนเพิ่มของมูลค่าทุน (Capital Gain) และเงินปันผล ซึ่งเมื่อนำกลับไปลงทุนต่อ ก็ยิ่งเพิ่มอัตราการทบต้นของพอร์ตโดยรวม. แทนที่เราจะต้องไปเลือกหุ้นรายตัวแล้วลุ้นว่าบริษัทนั้นจะโตหรือไม่ การซื้อ ETF กว้าง ๆ เช่น ที่อิงกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ หรือหุ้นทั่วโลก ช่วยให้พอร์ตเติบโตไปพร้อมกับเศรษฐกิจและกำไรของบริษัทจำนวนมากทั้งระบบ.​
แบ่งพอร์ตเป็น Passive และ Active ให้ทำงานร่วมกัน
สำหรับคนที่มีทักษะการเทรดหรืออ่านกราฟอยู่แล้ว การสร้างความมั่งคั่งไม่จำเป็นต้องเลือกทางใดทางหนึ่งระหว่าง “เก็งกำไร” กับ “ลงทุนระยะยาว” แต่สามารถออกแบบให้สองโลกนี้เสริมกันได้ผ่านการแบ่งพอร์ต.
แนวคิดคือ​
  • 1.
    ​พอร์ต Passive: ลง Global ETF, กองทุนดัชนี, หุ้นปันผล, REIT เน้นเติบโต–รับปันผลระยะยาว
  • 2.
    ​พอร์ต Active: เทรดหุ้น, ฟิวเจอร์ส, ฟอเร็กซ์, คริปโต ฯลฯ ใช้วิชาเทคนิคและ money management ที่มีอยู่
กุญแจสำคัญคือกำหนด “เพดาน” ของพอร์ต Active ไม่ให้เกินสัดส่วนที่ยอมรับความผันผวนได้ เช่น 20–30% ของสินทรัพย์ลงทุนทั้งหมด แล้วตั้งกติกาว่า ทุกครั้งที่พอร์ต Active มีกำไร จะต้องหักกำไรส่วนหนึ่ง โอนกลับเข้าไปเพิ่มในพอร์ต Passive อย่างมีวินัย. เมื่อทำซ้ำไปเรื่อย ๆ พอร์ตระยะยาวจะค่อย ๆ โตเร็วขึ้นจากพลังทบต้นบวกกับกำไรที่ไหลมาจากการเทรด ทำให้ความเสี่ยงโดยรวมของชีวิตการเงินลดลง แม้เราจะยังสนุกกับการเล่นเกมในตลาดอยู่ก็ตาม.​​
จาก “เหนื่อยหาเงิน” สู่ “เงินทำงานแทนเรา”
ปลายทางของระบบทั้งหมดนี้ คือการทำให้รายได้จากทรัพย์สินเริ่มรับช่วงจากรายได้จากการทำงาน จนถึงวันที่ค่าใช้จ่ายพื้นฐานส่วนใหญ่ถูกจ่ายด้วยดอกผลจากพอร์ตลงทุน ไม่ใช่จากเงินเดือนหรือค่าแรงเพียงอย่างเดียว. เมื่อพอร์ตที่ประกอบด้วย Global ETF, หุ้นปันผล, REIT และสินทรัพย์เติบโตอื่น ๆ มีขนาดใหญ่พอ รายได้จากดอกเบี้ย ปันผล และการถอนบางส่วนอย่างมีแผน จะกลายเป็น “เงินเดือนจากทรัพย์สิน” ที่เข้าบัญชีแทนเราอย่างสม่ำเสมอ.​
นี่คือสิ่งที่หลายคนเรียกว่า “ความมั่งคั่งแบบเงียบ ๆ” ที่ไม่จำเป็นต้องโชว์ แต่สะท้อนผ่านความอิสระในการเลือกงาน เลือกใช้เวลา และเลือกรับความเสี่ยงในชีวิต. สำหรับคนเงินเดือนไม่สูง การเริ่มต้นวันนี้ด้วยกติกาง่าย ๆ: แบ่งเงินอย่างมีระบบ, ตั้งออม–ลงทุนอัตโนมัติ, ใช้ Global ETF/กองดัชนีเป็นฐาน และให้กำไรจากการเทรดหล่อเลี้ยงพอร์ตระยะยาว คือเส้นทางที่พิสูจน์แล้วว่าทำได้จริง และสามารถพาเราออกจากวงจร “ทำงาน–จ่ายหนี้–รอเงินเดือน” ไปสู่ชีวิตที่เงินทำงานแทนคนมากขึ้นทุกปี.
โฆษณา