15 ธ.ค. เวลา 00:57 • ความคิดเห็น
บอกสิ่งหนึ่งที่คุณคิดว่าผม “ควรรู้” หน่อยได้ไหมครับ ?
คำถามนี้ถูกลบ
ลองช่วยพินิจบทความนี้ดูนะคะ.
[กฎธรรมชาติที่เปลี่ยนมุมมองชีวิต 5]
ไม่ใช่ทุกอย่างที่เกิดจาก “กรรม” อย่างที่คุณเคยเข้าใจ
เกริ่นนำ..
เคยสงสัยไหมว่าทำไมเรื่องราวที่ไม่คาดฝันถึงเกิดขึ้นในชีวิต? ทำไมชีวิตของคนเราถึงแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว? หรือทำไมบางครั้งพยายามแทบตาย แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นอย่างที่หวัง? บ่อยครั้งที่เรามักได้ยินคำอธิบายที่ดูเหมือนจะครอบคลุมทุกสิ่งว่า "ทุกอย่างเป็นเพราะกรรม" แต่จะเป็นเช่นนั้นจริงหรือ?
เมื่อ 2,500 กว่าปีก่อน พระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบกรอบการทำงานของจักรวาลที่ลึกซึ้งและครอบคลุมกว่านั้นมาก พระองค์ทรงชี้ให้เห็นว่าโลกนี้ดำเนินไปภายใต้กฎธรรมชาติ 5 ประการที่เรียกว่า "นิยาม 5" ซึ่งเป็นระบบอันซับซ้อนและงดงามที่เผยให้เห็นว่า "กรรม" เป็นเพียงหนึ่งในจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญ แต่ไม่ใช่ภาพรวมทั้งหมดของชีวิต
1. เรื่องบังเอิญไม่มีอยู่จริง แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือ “ผลกรรม”
ความเข้าใจที่ว่าทุกเหตุการณ์ในชีวิต ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ล้วนเป็นผลโดยตรงจาก "กรรม" ที่เคยทำไว้ในอดีตนั้น เป็นความเชื่อที่คลาดเคลื่อนไปจากหลักคำสอนที่แท้จริง แม้ว่าพระพุทธศาสนาจะตั้งอยู่บนหลักการของเหตุและผล แต่กฎแห่งกรรมเป็นเพียง 1 ใน 5 กฎธรรมชาติที่ควบคุมความเป็นไปของทุกสรรพสิ่ง
กฎข้อแรกที่เราต้องทำความเข้าใจคือ อุตุนิยาม (Utu-niyāma) หรือกฎธรรมชาติที่ควบคุมวัตถุที่ไม่มีชีวิตและปรากฏการณ์ทางกายภาพ เช่น การที่ฝนตก, ฤดูกาลที่หมุนเวียนเปลี่ยนไป, หรือการเกิดแผ่นดินไหว สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผลมาจากเหตุปัจจัยทางฟิสิกส์ ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิ, ความชื้น, หรือแรงกดอากาศ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกรรมเก่าของใครคนใดคนหนึ่งเลย การที่เราต้องเผชิญกับพายุฝน ไม่ได้แปลว่าเรากำลังชดใช้กรรม แต่เป็นเพราะเงื่อนไขทางธรรมชาติมันสอดคล้องกันอย่างลงตัวในเวลานั้น
"ความคิดที่ว่าศาสนาพุทธสอนว่าทุกอย่างเกิดขึ้นจากกฎแห่งกรรมเท่านั้น ในทางพระพุทธศาสนาถือว่าเป็นความคิดที่ไม่สมบูรณ์ เพราะกฎธรรมชาติไม่ได้มีแค่กฎแห่งกรรมเท่านั้น แต่ยังมีกฎธรรมชาติต่างๆรวมกันแล้วถึง 5 กฎ"
การเข้าใจอุตุนิยามจึงเป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ บางช่วงเวลาในชีวิตอาจรู้สึกเหมือนฝนตกทุกวัน ฟ้ามืดมิดอยู่ตลอด พยายามแค่ไหนก็ยังไม่เห็นผล นั่นไม่ได้แปลว่าเราไร้ค่า แต่เป็นสัญญาณว่าธรรมชาติต่างหากที่กำลังปรับดิน ปรับฟ้า ปรับจังหวะให้เหมาะกับการงอกงามครั้งใหม่ของเรา คำตอบจึงไม่ใช่การฝืน แต่คือการ “รู้จังหวะ เข้าใจความเป็นไป และวางใจ” ในกระบวนการของธรรมชาติ
2. กฎฟิสิกส์และชีววิทยาในสายตาของพระพุทธเจ้า
ก่อนที่โลกจะรู้จักคำว่า "วิทยาศาสตร์" พระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบกฎเกณฑ์ที่เป็นระเบียบซึ่งควบคุมโลกทางกายภาพและชีวภาพเอาไว้แล้ว ซึ่งก็คือนิยาม 2 ข้อแรกนั่นเอง
* อุตุนิยาม (Utu-niyāma): กฎแห่งโลกกายภาพ กฎข้อนี้เปรียบได้กับหลักการทางฟิสิกส์และเคมีในปัจจุบัน เป็นกฎที่ควบคุมความเป็นไปของสสารและพลังงานทั้งหมด ตั้งแต่การที่น้ำไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ ไปจนถึงการหมุนของดวงดาวในจักรวาล ทุกอย่างดำเนินไปตามเหตุปัจจัยทางวัตถุอย่างเป็นระบบ
* พีชนิยาม (Bīja-niyāma): กฎแห่งโลกชีวภาพ นี่คือกฎธรรมชาติที่ควบคุมการสืบพันธุ์และพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ เมื่อเราปลูกเมล็ดมะม่วง สิ่งที่งอกออกมาก็ย่อมเป็นต้นมะม่วงเสมอ ไม่เคยกลายเป็นทุเรียน หรือลูกสุนัขก็ย่อมเกิดจากแม่สุนัข ไม่ใช่แมว สิ่งนี้คือระเบียบอันเที่ยงตรงของพันธุกรรมที่ส่งต่อชีวิตจากรุ่นสู่รุ่น
กฎทั้งสองข้อนี้ชี้ให้เห็นว่าโลกธรรมชาติมีระเบียบแบบแผนของตัวเองที่ดำเนินไปอย่างตรงไปตรงมา ไม่ขึ้นอยู่กับความปรารถนาของมนุษย์หรือการดลบันดาลจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ และนี่คือจุดที่มอบพลังให้แก่เรา เพราะมันชี้ให้เห็นว่า เราอาจเลือกพันธุกรรมไม่ได้ แต่เราเลือกความตั้งใจในวันนี้ได้ เราอาจเลือกจุดเริ่มต้นไม่ได้ แต่เราเลือกทิศทางที่จะเติบโตต่อไปได้เสมอ
3. จิตใจก็มีกฎของมันเอง: รู้จัก “กฎแห่งจิต” ที่ควบคุมทุกความคิดและอารมณ์
เคยสังเกตไหมว่า ทำไมพี่น้องที่เติบโตมาในสภาพแวดล้อมเดียวกัน มีพันธุกรรมใกล้เคียงกัน ถึงได้มีนิสัยใจคอแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คนหนึ่งใจกว้างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ในขณะที่อีกคนกลับตระหนี่ถี่เหนียว? ปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยกฎทางฟิสิกส์หรือชีววิทยา แต่สามารถเข้าใจได้ผ่าน จิตตนิยาม (Citta-niyāma) ซึ่งเป็นกฎธรรมชาติที่ว่าด้วยกลไกการทำงานของจิต
จิตตนิยามอธิบายว่า จิตไม่ใช่สิ่งที่คงที่หรือเป็นตัวตนถาวร แต่เป็นกระแสของพลังงานที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปอย่างต่อเนื่องในทุกขณะ เป็นกระบวนการที่แปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาตามเหตุปัจจัยที่เข้ามากระทบ ไม่เคยหยุดนิ่งแม้แต่ชั่วพริบตา เหมือนคลื่นในทะเลที่ซัดเข้าหาฝั่งตลอดเวลา หรือ เหมือนลิงที่กระโดดจากกิ่งหนึ่งไปอีกกิ่งหนึ่งไม่หยุด ความคิด อารมณ์ และความรู้สึกต่างๆ ไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ แต่มีกฎเกณฑ์ในการทำงานที่เป็นแบบฉบับของตัวเอง
"จิตที่เปลี่ยน แปลง เร็ว กว่า ฟ้า ผ่า และ แม่น ยำ กว่า นาฬิกา อะตอม ใด ๆ"
การเข้าใจกฎข้อนี้มอบพลังอันยิ่งใหญ่ให้กับเรา เพราะเมื่อรู้ว่าจิตดำเนินไปตามกฎ เราก็สามารถศึกษา เรียนรู้ และฝึกฝนจิตใจของเราได้ จิตที่เคยฟุ้งซ่านสามารถฝึกให้สงบได้ จิตที่เคยมืดบอดก็สามารถเจริญปัญญาให้สว่างไสวได้ นี่คือประตูสู่การเป็นนายเหนืออารมณ์และความคิดของตนเอง
4. “กรรม” ในตำแหน่งที่ถูกต้อง: กฎแห่งการกระทำที่เที่ยงตรงและมีเหตุผล
เมื่อเราเข้าใจกฎ 3 ข้อแรกแล้ว เราจะสามารถมองเห็นบทบาทที่แท้จริงของ กรรมนิยาม (Kamma-niyāma) หรือกฎแห่งกรรมได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
กรรมนิยามไม่ใช่กฎที่ควบคุมทุกสรรพสิ่ง แต่เป็นกฎที่ทำงานเฉพาะเจาะจงกับ การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา(ความจงใจ)ของมนุษย์เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการกระทำทางกาย, วาจา, หรือใจ หลักการของมันนั้นเรียบง่ายและเที่ยงตรง คือ เมื่อเราสร้างเหตุที่ดีด้วยเจตนาที่ดี ผลลัพธ์ย่อมเป็นสุข ในทางกลับกัน หากเราสร้างเหตุที่ไม่ดีด้วยเจตนาที่เป็นอกุศล ผลลัพธ์ก็ย่อมเป็นทุกข์
ดังนั้น กรรมนิยามจึงเปรียบเสมือน "กฎศีลธรรมแห่งจักรวาล" ที่ไม่ได้เป็นตัวกำหนดว่าฝนจะตกเมื่อไหร่ หรือเราจะเกิดมามีหน้าตาแบบไหน แต่เป็นตัวกำหนดคุณภาพของประสบการณ์ชีวิตที่เราจะได้รับ อันเป็นผลมาจากการเลือกกระทำของเราเอง และส่วนที่น่าทึ่งที่สุดของกฎข้อนี้ก็คือ กรรมไม่ใช่โชคชะตาที่ตายตัว เพราะ กรรมใหม่สามารถตัดตอนกรรมเก่าได้ เหมือนน้ำใสที่ค่อยๆ เจือจางหมึกดำ นั่นหมายความว่า ทุกการกระทำในปัจจุบันของเรามีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงและกำหนดทิศทางอนาคตได้เสมอ
5. ธรรมนิยาม: กฎแม่บทที่เชื่อมโยงทุกสิ่งในจักรวาลเข้าด้วยกัน
กฎข้อสุดท้ายและเป็นกฎที่ครอบคลุมทุกสิ่งคือ ธรรมนิยาม (Dhamma-niyāma) นี่คือกฎแม่บทหรือ “ระบบปฏิบัติการ” (Operating System) ของจักรวาล ที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ของเหตุและผลและความเชื่อมโยงของสรรพสิ่ง
ธรรมนิยามอธิบายว่า ไม่มีสิ่งใดในจักรวาลที่เกิดขึ้นหรือดำรงอยู่ได้โดยลำพัง ทุกสิ่งล้วนอิงอาศัยกันและกันเป็นทอดๆ กฎ 4 ข้อแรกที่เรากล่าวมาก็ล้วนดำเนินอยู่ภายใต้กฎแม่บทข้อนี้ ความจริงอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา
ไม่ว่าจะเป็น ไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา), ปฏิจจสมุปบาท (กฎแห่งการอิงอาศัยกันเกิดขึ้น), หรือ อริยสัจ ๔ ล้วนเป็นเพียงการแสดงออกในแง่มุมต่างๆ ของธรรมนิยามนี้เอง เปรียบได้กับน้ำ (H₂O) ซึ่งเป็นสสารเดียวกัน แต่สามารถปรากฏใน 3 สถานะที่แตกต่างกันได้ คือ ของเหลว (น้ำ), ของแข็ง (น้ำแข็ง), และก๊าซ (ไอน้ำ)
การเข้าใจธรรมนิยามจึงช่วยให้เรามองโลกอย่างเป็นองค์รวม ทำให้เห็นว่าทุกการกระทำและความคิดของเรา ไม่เพียงส่งผลต่อตัวเอง แต่ยังส่งแรงสั่นสะเทือนไปสู่โลกรอบตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราไม่ได้อยู่โดดเดี่ยว แต่เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายแห่งเหตุปัจจัยอันยิ่งใหญ่นี้
บทสรุป
ชีวิตไม่ได้ดำเนินไปภายใต้พลังของ "กรรม" เพียงอย่างเดียว แต่ถูกควบคุมด้วยระบบของกฎธรรมชาติ 5 ประการที่ทำงานประสานกันอย่างซับซ้อนและเป็นระเบียบ ทั้ง อุตุนิยาม, พีชนิยาม, จิตตนิยาม, กรรมนิยาม, และ ธรรมนิยาม ต่างก็มีบทบาทในตำแหน่งที่ถูกต้องของมันเอง การเข้าใจภาพรวมทั้งหมดนี้ช่วยให้เราเลิกโทษโชคชะตา และหันมามองชีวิตอย่างมีเหตุมีผลและมีความหวังมากขึ้น เพราะธรรมะไม่ได้สอนให้เราหนีโลก แต่มอบ “แว่นตาแห่งความเข้าใจ” ให้เราอยู่ร่วมกับโลกนี้ด้วยหัวใจที่เบาสบาย
เมื่อรู้ว่าทุกสิ่งดำเนินไปตามเหตุปัจจัยที่เชื่อมโยงกันเช่นนี้ เราจะเลือกสร้าง 'เหตุ' แบบไหนให้กับชีวิตและโลกรอบตัวเราในวันนี้?
โฆษณา