15 ธ.ค. เวลา 12:46 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

พระราชบัญญัติ ‘สิทธิทางประสาท’ ของไทย ???

"Canary in the Coal Mine"
Dr. John Scott Haldane
​สัญญาณเตือนภัยจากสมองดิจิทัล: เมื่อ 'นกคานารี' อย่างชิลีในการบัญญัติ ‘สิทธิทางประสาท’
​บทนำ: สิทธิมนุษยชนในยุคของสมองดิจิทัล
​ในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยี BCI (Brain-Computer Interface) กำลังก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว โดยมีศักยภาพในการ อ่าน (Read) และ ถอดรหัส (Decode) กิจกรรมทางสมองได้โดยตรง ทำให้เกิดความกังวลว่า "พื้นที่ส่วนตัวสุดท้าย" ของมนุษย์ นั่นคือ ความคิดและจิตใจ กำลังถูกรุกล้ำ
​ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีนี้คือ สัญญาณเตือนภัย ที่ชัดเจน โดยประเทศ ชิลี ได้ทำหน้าที่เป็นเสมือน "นกคานารีในเหมืองถ่านหิน" ที่ส่งสัญญาณความเสี่ยงล่วงหน้า และตอบสนองด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อปกป้องสิทธิทางประสาทอย่างเป็นทางการ การกระทำของชิลีจึงเป็น เครื่องนำทาง ที่สำคัญยิ่งที่ประเทศไทยควรนำมาพิจารณาและผลักดันในเชิงนโยบายอย่างเร่งด่วน
​บทที่ 1: ชิลี: นกคานารีผู้ส่งสัญญาณปกป้องสมอง
​ในปี 2021 รัฐสภาชิลีได้ผ่านการแก้ไข มาตรา 19 ข้อ 1 ของรัฐธรรมนูญ เพื่อเพิ่มการคุ้มครอง "ความสมบูรณ์ของสมองและหลักประกันทางจิตใจ" (integrity and mental indemnity of the brain) จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางประสาท
การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งประวัติศาสตร์นี้แสดงให้เห็นถึงความตระหนักว่า:
​การยกระดับการคุ้มครอง: ชิลียกระดับการคุ้มครองสมองให้เทียบเท่ากับการคุ้มครองอวัยวะอื่น ๆ โดยมีเจตนาเพื่อป้องกันการเข้าถึงและการใช้ข้อมูลทางประสาทโดยมิชอบ
1
​การคุ้มครองเจตจำนงเสรี: กฎหมายชิลีมุ่งเน้นการคุ้มครองเสรีภาพในการตัดสินใจของพลเมือง จากการถูกควบคุมหรือแทรกแซงโดยตรงจากอุปกรณ์ BCI และควบคุมการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มศักยภาพสมอง (Cognitive Augmentation) เพื่อป้องกัน "ความเหลื่อมล้ำทางสมอง"
​ชิลีตระหนักว่า กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไปไม่เพียงพอต่อการคุ้มครองข้อมูลทางประสาท (Neurodata) ซึ่งมีความละเอียดอ่อนและสามารถเผยถึงเจตจำนงที่แท้จริงของบุคคลได้
1
​บทที่ 2: ข้อเสนอสำหรับประเทศไทย – การบัญญัติ ‘สิทธิทางประสาท’
​แม้ประเทศไทยจะมี พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) แต่กฎหมายดังกล่าวยังไม่ครอบคลุมและเพียงพอในการคุ้มครองข้อมูล Neurodata ซึ่งต้องการการคุ้มครองในระดับที่สูงกว่าข้อมูลชีวภาพทั่วไป
​ดังนั้น ประเทศไทยควรพิจารณาดำเนินการตามแนวทางที่ชิลีได้เป็นเครื่องนำทาง โดยการผลักดันการบัญญัติสิทธิทางประสาทใน 2 ระดับ คือระดับรัฐธรรมนูญและการออกกฎหมายเฉพาะ โดยใช้ 5 สิทธิทางประสาทหลัก
เป็นแกนกลางในการกำกับดูแล:
​5 สิทธิทางประสาทหลัก (The Core 5 Neurorights)
​1. สิทธิในความเป็นส่วนตัวทางจิต (Mental Privacy)
​คำอธิบาย: สิทธิที่จะป้องกันการเข้าถึง การเก็บรวบรวม หรือการใช้ ข้อมูลทางประสาท (Neurodata/Brain Data) ที่วัดจากกิจกรรมทางสมองของตนเองโดยไม่ได้รับความยินยอมอย่างชัดเจนและถอนได้
​ความกังวล: ป้องกันการที่บริษัทหรือรัฐบาลดึงข้อมูลความคิด ความตั้งใจ อารมณ์ หรือความทรงจำออกจากสมองไปใช้ประโยชน์ทางการค้า การเมือง หรือการควบคุม
​2. สิทธิในเสรีภาพในการคิดและตัดสินใจ (Cognitive Liberty / Free Will)
​คำอธิบาย: สิทธิที่จะคิดและตัดสินใจได้อย่างอิสระและเป็นตัวของตัวเอง โดยไม่ถูกควบคุม ชักจูง หรือบิดเบือนจากอุปกรณ์หรือซอฟต์แวร์ทางประสาท (เช่น การแทรกแซงโดย BCI)
​ความกังวล: ป้องกันการถูกควบคุมการตัดสินใจ หรือถูกปลูกฝังความคิด ความรู้สึก หรือการกระทำผ่านการกระตุ้นสมองโดยตรง
​3. สิทธิในการปกป้องความต่อเนื่องทางจิตใจ (Right to Psychological Continuity)
​คำอธิบาย: สิทธิที่จะรักษามโนสำนึกของตนเอง (Sense of Self) ตัวตนส่วนบุคคล (Personal Identity) และความจำดั้งเดิม ไม่ให้ถูกเปลี่ยนแปลง ปรับแต่ง หรือลบออกโดยเทคโนโลยีทางประสาทโดยปราศจากความยินยอม
​ความกังวล: ป้องกันความเสี่ยงที่การปรับเปลี่ยนหน่วยความจำ หรือการเพิ่มประสิทธิภาพสมองจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพหรือตัวตนของเราอย่างถาวร
​4. สิทธิในการเข้าถึงอย่างเท่าเทียมและไม่เลือกปฏิบัติ (Right to Equitable Access)
​คำอธิบาย: สิทธิที่จะได้รับการควบคุมการใช้เทคโนโลยีทางประสาทเพื่อเพิ่มศักยภาพทางสมอง (Cognitive Augmentation) เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด "ความเหลื่อมล้ำทางสมอง" (Brain Divide) และสร้างช่องว่างทางสังคมใหม่ ๆ
​ความกังวล: ป้องกันการที่คนรวยเท่านั้นที่เข้าถึงเทคโนโลยีเสริมสมรรถภาพทางสมองได้ ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมในการแข่งขันด้านโอกาสและความสามารถ
​5. สิทธิในการปกป้องจากการชักจูงด้วยอัลกอริทึม (Protection from Algorithmic Bias)
​คำอธิบาย: สิทธิที่จะมั่นใจว่าอัลกอริทึมที่อ่าน/เขียน/วิเคราะห์ข้อมูลสมองจะไม่มีอคติ (Bias) หรือการเลือกปฏิบัติ (Discrimination) ต่อกลุ่มบุคคลใด ๆ ตามเชื้อชาติ เพศ หรือภูมิหลัง
ความกังวล: ป้องกันการที่ข้อมูลสมองถูกวิเคราะห์โดย AI ที่มีอคติและนำไปสู่การเลือกปฏิบัติในการจ้างงาน การประกัน หรือด้านอื่น ๆ
บทสรุปและข้อเรียกร้อง
การไม่ดำเนินการใด ๆ อาจนำไปสู่การสูญเสีย "พื้นที่ศักดิ์สิทธ์" หรือข้อมูลทางความคิดของมนุษย์ ซึ่งจะถูกดึงข้อมูลไปใช้ประโยชน์ทางการค้าหรือการเมืองได้โดยง่าย ประเทศไทยไม่สามารถมองข้าม สัญญาณเตือนภัยในคร้ง นี้ได้
1
​ข้อเรียกร้อง
จึงตกอยู่กับรัฐบาล, สภานิติบัญญัติ, และนักวิชาการในประเทศไทย ให้เริ่มต้นการอภิปรายและผลักดันกฎหมายสิทธิทางประสาท เพื่อให้ประเทศไทยสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี BCI ได้อย่างมีจริยธรรม และคุ้มครองความเป็นมนุษย์และเสรีภาพในการคิดของพลเมืองอย่างสูงสุด
โฆษณา