Blockdit Logo (Mobile)
ตามผมลงทุนคริปโต
•
17 ธ.ค. เวลา 04:51 • คริปโทเคอร์เรนซี

Case Study: ใช้น้ำมันเป็นตัววัด risk-on / risk-off ของตลาดโลกยังไง

หลายคนดู “ราคาน้ำมันขึ้น = ตลาดเสี่ยง” หรือ “น้ำมันลง = ตลาดพัง” แล้วสรุปเลย…
แต่ความจริงคือ น้ำมันเป็นตัวชี้วัดอารมณ์ตลาดได้ดี “ก็ต่อเมื่อ” คุณรู้ว่าอะไรเป็นคนผลักมัน (Driver Attribution)
ไม่งั้นจะกลายเป็น KPI สวยๆ ที่หลอกทีมบริหารความเสี่ยงทั้งบริษัท 😄
1) หลักคิด: น้ำมันไม่ใช่สัญญาณเดียว แต่เป็น “ตัวกลาง” ของ 3 เรื่อง
A) Demand shock (เศรษฐกิจจริง)
น้ำมันขึ้นเพราะดีมานด์จริงแข็งแรง → มักไปทาง risk-on (หุ้น/สินค้าโภคภัณฑ์หนุน)
น้ำมันลงเพราะดีมานด์หาย/กลัวถดถอย → มักเป็น risk-off
B) Supply/Geopolitics shock (ความเสี่ยงฝั่งอุปทาน)
น้ำมันขึ้นเพราะเสี่ยงตัดซัพพลาย/สงคราม/เส้นทางขนส่งป่วน → มัก risk-off (เงินเฟ้อ/ต้นทุนพุ่ง กดกำไรบริษัท)
C) Policy/Inflation shock (ดอกเบี้ย/เงินเฟ้อ)
น้ำมันขึ้นแล้วไปดันคาดการณ์เงินเฟ้อ → ตลาดกลัวดอกเบี้ยสูงนาน → risk-off ได้
น้ำมันลงเพราะซัพพลายล้น/เงินเฟ้อลด → ตลาดตีความเป็น “disinflation tailwind” → risk-on ได้ (แต่ต้องเช็กว่าไม่ได้ลงเพราะเศรษฐกิจพัง)
2) “Oil Dashboard” ที่ผมใช้แยก risk-on/off (ทำตามได้เลย)
เวลาเห็นน้ำมันวิ่งแรง ให้เช็ก 4 จุดนี้ก่อนสรุป:
1. หุ้นโลก + กลุ่ม Energy
หุ้นตกแต่หุ้นพลังงานสวนขึ้น → มักเป็น “น้ำมันขึ้นเพราะเสี่ยงต้นทุน/สงคราม” = risk-off
2. US 10Y yield + Inflation expectations
ถ้าน้ำมันขึ้นพร้อม “คาดการณ์เงินเฟ้อ” ขยับ → ตลาดเริ่มกลัวดอกเบี้ย = risk-off
ช่วงที่น้ำมันลงแล้วแรงกดเงินเฟ้อ/ความคาดหวังเงินเฟ้อลง มักเป็นอีกภาพหนึ่ง
3. USD (DXY) + Credit spreads
USD แข็ง + สเปรดกว้าง = risk-off ชัด
USD อ่อน + สเปรดแคบ = risk-on มากกว่า
4. ข่าว/โครงเรื่องตลาด (Narrative)
ถ้าหัวข่าววนเรื่อง “สงคราม/คว่ำบาตร/เส้นทางขนส่ง” → supply shock
ถ้าวนเรื่อง “รีเซสชัน/จีนชะลอ/ดีมานด์อ่อน” → demand shock
3) Case Study แบบจับต้องได้ (3 เหตุการณ์)
Case 1: น้ำมันขึ้นจากความเสี่ยงตะวันออกกลาง → risk-off แบบต้นทุน/เงินเฟ้อ
ช่วงเมษายน 2024 น้ำมันขึ้นแถว ๆ ระดับเกือบ/เหนือ $90 โดยแรงขับหลักมาจากความตึงเครียดตะวันออกกลางและความกังวลเรื่องอุปทาน
วิธีอ่านสัญญาณ:
ถ้าน้ำมันขึ้นจาก “กลัวซัพพลายสะดุด” ตลาดมักแปลเป็น ต้นทุนพลังงานสูงขึ้น + เงินเฟ้อเหนียว
ผลคือสินทรัพย์เสี่ยงบางส่วนโดนกด (ยกเว้นกลุ่มพลังงาน/ป้องกันความเสี่ยง)
> สรุป: “น้ำมันขึ้น” ไม่ได้แปลว่าเศรษฐกิจดีเสมอไป — บางทีแปลว่า “โลกกำลังแพงขึ้น” และตลาดไม่ชอบของแพงครับ
Case 2: น้ำมันร่วงแรงเพราะความเสี่ยงสงครามลดลง → risk-on เชิง “โล่งอก”
ปลายตุลาคม 2024 มีช่วงที่น้ำมันร่วงแรง (รายงานหนึ่งระบุร่วงมากกว่า ~6%) หลังตลาดตีความว่าความเสี่ยงขยายวงสงครามตะวันออกกลาง “ลดลง” จากลักษณะการตอบโต้ที่จำกัด
วิธีอ่านสัญญาณ:
น้ำมันลงเพราะ “risk premium หาย” → มักเป็น risk-on สำหรับภาพรวม (โล่งอกเรื่องต้นทุน/เงินเฟ้อ)
แต่ต้องดูต่อว่า: หุ้นเด้งจริงไหม? เครดิตสเปรดแคบลงไหม? ถ้าใช่ = risk-on confirm
Case 3: ธันวาคม 2025 น้ำมันลงต่ำกว่า $60 จาก “ซัพพลายล้น + ความหวังดีลรัสเซีย-ยูเครน” → ภาพผสม ต้องแยกให้ออก
ช่วง 16 ธ.ค. 2025 มีรายงานว่าน้ำมันลงต่ำกว่า $60 โดยแรงหนุนมาจากความหวังเรื่องดีลรัสเซีย-ยูเครน + ภาพซัพพลายล้น/ดีมานด์อ่อนบางส่วน
ขณะเดียวกัน ฝั่งตลาดหุ้นภูมิภาคที่พึ่งพาน้ำมัน (เช่น Gulf) ก็มีแรงกดดันตามราคาน้ำมันที่ลดลง
วิธีอ่านสัญญาณ:
ถ้าน้ำมันลงแล้ว “ตลาดตีความเป็นเงินเฟ้อลง” → risk-on ในบางสินทรัพย์ได้
แต่ถ้าน้ำมันลงเพราะ “ดีมานด์โลกอ่อน/กลัวเศรษฐกิจ” → risk-off ก็ได้เหมือนกัน
นี่แหละเหตุผลที่ต้องมี Dashboard ไม่ใช่ดูกราฟเส้นเดียวแล้วประชุมสรุป 😂
4) สรุปเป็นกฎจำง่าย
น้ำมันขึ้น + ข่าวสงคราม/ซัพพลายสะดุด + ตลาดกลัวเงินเฟ้อ → มัก risk-off
น้ำมันขึ้น + เศรษฐกิจดีมานด์จริงแข็ง + หุ้นขึ้นพร้อมกัน → มัก risk-on
น้ำมันลง + เงินเฟ้อคาดหวังลง + หุ้น/เครดิตดีขึ้น → มัก risk-on (disinflation)
น้ำมันลง + ข่าวรีเซสชัน/ดีมานด์หาย + หุ้น/เครดิตแย่ → มัก risk-off
การลงทุนที่ดีที่สุดคือการลงทุนในตัวคุณเอง!
อยากอ่านตลาดโลกให้คมขึ้นแบบ “ดูสาเหตุ ไม่ดูแค่ราคา” ทักมาได้ เดี๋ยวผมสรุป Dashboard ที่ใช้จริงให้เอาไปเช็กทุกวันแบบเป็นระบบ
บัญชีเทรด & แพลตฟอร์มที่ผมใช้
วิธีเปิดบัญชี Exness (คลิปสอนเต็ม): https://youtu.be/c8eeHJ9HGoo?si=0X8yK88noR-upGcK
ติดตาม/เข้ากลุ่ม
LINE: https://lin.ee/eoot7tn (@peachcrypto)
#น้ำมัน #WTI #Brent #Macro #riskonriskoff #Commodity #เศรษฐกิจโลก #วิเคราะห์กราฟ #ลงทุนคริปโต
โฆษณา