17 ธ.ค. เวลา 11:45 • หุ้น & เศรษฐกิจ

จับตา! 5 ปัจจัยเสี่ยงรุมเร้าเศรษฐกิจไทย ปี 69

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ชี้ 5 ปัจจัยเสี่ยงรุมเร้าเศรษฐกิจไทย ปี 69 ทั้งสงครามการค้า -การท่องเที่ยวฟื้นช้า -ความไม่แน่นอนการเมือง -ปัญหาชายแดน ลั่น! รัฐบาลใหม่ ควรเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ มากกว่าการแจกเงิน
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ปี 2569 คาดว่า GDP ไทยจะเติบโตเพียง 1.6% จาก ปี 68 ที่เติบโต 1.9% ซึ่งไม่ถึง 2% โดยปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยในปี 2569 มี 5 ด้านสำคัญ คือ 1. สงครามการค้า ฉุดภาคส่งออกไทย จึงคาดว่าปี 65 ส่งออกไทยจะหดตัวติดลบ 1% และยังต้องติดตามดูว่าการส่งออกของจีนอินเดียญี่ปุ่นเกาหลีใต้และไทยจะติดลบหรือไม่
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
2.ความเสี่ยงภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่ยังไม่กลับมา ขณะที่ ตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยวล่าสุดของปีนี้อยู่ที่ 30.9 ล้านคน ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 35 ล้านคน โดยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอันดับแรก คือ มาเลเซีย ตามด้วยจีน โดยค่าเงินบาท เป็นปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยสนับสนุนภาคการท่องเที่ยว หากเงินบาทอ่อนก็จะส่งผลดีต่อภาคการท่องเที่ยว แต่กรณีค่าเงินบาทแข็ง ก็เชื่อว่า กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% เพื่อประคองเศรษฐกิจ และคาดว่าจะลดได้อีกในช่วงต้นปี 69 ที่ 0.25%
3. สถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ โดยต้องติดตามดูกันต่อไปว่าจะฟื้นฟูได้เร็วแค่ไหน และส่งผลต่อภาคการท่องเที่ยวมากน้อยแค่ไหน / 4. สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งมีผลกระทบในเชิงจิตวิทยาและการค้าขาย หากสถานการณ์ไม่ยืดเยื้อก็จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทย
5.ความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งอาจทำให้นโยบายด้านเศรษฐกิจไม่ชัดเจน คาดว่าจะมีเม็ดเงินหมุนเวียนช่วงเลือกตั้งประมาณ 40,000 - 60,000 ล้านบาทในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 69
ซึ่งรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามา ควรเน้นนโยบายโดยเฉพาะการต่อต้านปัญหาคอรัปชั่น จัดการแก๊งสแกมเมอร์ ส่วนนโยบายด้านเศรษฐกิจ ต้องหาแนวทาง “ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ” ให้ได้ ควรออกมาตรการที่กระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในระยะปานกลาง และระยะยาว
นโยบายเศรษฐกิจ ควรปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้ได้ ส่งเสริมด้าน IT AI น้ำ ไฟ โลจิสติกส์เมืองรอง วางรากฐาน Infrastructure และ วางโครงสร้างด้านการศึกษาใหม่ๆ รวมถึงการลดต้นทุนภาคการผลิต และดึงคนเข้าสู่ระบบภาษีให้มากขึ้น เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้า
นายธนวรรธน์ ย้ำว่า นโยบายหาเสียงในการเลือกตั้ง หรือ หากได้รัฐบาลมาแล้ว ไม่ควรเน้นไปที่การแจกเงินเพียงอย่างเดียว ควรทำให้น้อยลง ที่สำคัญไม่ควรใช้นโยบายปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เพราะจะส่งผลต่ออุตสาหกรรมภาคการผลิต ทำให้ขีดความสามารถทางการแข่งขันสู้ประเทศคู่ค้าไม่ได้
อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ :
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ https://www.pptvhd36.com
และช่องทาง Social Media
โฆษณา