Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Bigmama ชวนอ่าน
•
ติดตาม
17 ธ.ค. เวลา 13:12 • สุขภาพ
เปลี่ยนเข่าเทียมมา 2 ข้างแล้ว... ทำไมยังเดินเป๋? หรือว่าผ่าตัดล้มเหลว? (อ่านก่อนจะหมดกำลังใจ)
"หมอครับ แม่ผมผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมมาครบ 2 ข้างแล้วครับ ข้างขวาทำปีที่แล้ว ข้างซ้ายเพิ่งทำเมื่อ 6 เดือนก่อน หมอผ่าตัดบอกว่าแผลสวย กระดูกเข้าที่ดีมาก แต่ทำไมทุกวันนี้แม่ยังเดินไม่ค่อยได้ ต้องใช้ Walker ตลอด เดินตัวเกร็งๆ เหมือนคนกลัวล้ม บางทีก็บ่นว่าขาหนัก ยกไม่ขึ้น... ตกลงแม่ผมผ่าตัดไม่ได้ผลเหรอครับ?"
นี่คือคำถามที่ลูกชายของคนไข้ท่านหนึ่งถามหมอด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เพราะความคาดหวังก่อนผ่าตัดคือ "ผ่าแล้วต้องเดินปร๋อ เหมือนได้ขาใหม่" แต่ความเป็นจริงกลับไม่เป็นอย่างที่ฝัน
หมอเชื่อว่ามีผู้สูงอายุหลายท่านกำลังเผชิญปัญหานี้ครับ "ผ่าตัดสำเร็จ แต่คนไข้ไม่สำเร็จ" คือกระดูกข้อเข่าดีมาก ไม่มีหินปูนแล้ว ขาตรงแด่ว แต่ทำไมการเดินถึงยังลำบาก?
วันนี้หมอจะพาไปไขความลับที่หมอผ่าตัดอาจจะไม่มีเวลาอธิบายละเอียด ว่าการ "เดินได้ดี" ต้องใช้องค์ประกอบอะไรบ้าง และทำไมแค่ "เปลี่ยนเข่า" ถึงยังไม่พอครับ
ทฤษฎี "รถใหม่... แต่เครื่องเก่า"
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน หมอขอเปรียบเทียบร่างกายคนเราเหมือน "รถยนต์" ครับ
การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม คือการเปลี่ยน "ล้อรถและช่วงล่าง" ที่พังเสียหาย ให้กลับมาใหม่เอี่ยม ทรงสวย ศูนย์ล้อตรงเป๊ะ
แต่... รถจะวิ่งฉิวได้ มันไม่ได้อยู่ที่ล้ออย่างเดียวครับ มันต้องอาศัย:
1. เครื่องยนต์: คือ "กล้ามเนื้อต้นขา" (Quadriceps) ที่ต้องมีแรงขับเคลื่อน
2. คนขับ: คือ "ระบบประสาทและสมอง" ที่ต้องสั่งการได้แม่นยำ มั่นใจ
3. เชื้อเพลิง: คือ "สารอาหารและโปรตีน" ที่เพียงพอ
ปัญหาส่วนใหญ่ที่เดินไม่ดี ไม่ได้เกิดจาก "ล้อ" (เข่าเทียม) แต่เกิดจาก "เครื่องยนต์" ที่พังมานาน หรือ "คนขับ" ที่ขวัญเสียครับ
เจาะลึก 4 สาเหตุหลัก: ทำไมเข่าดี แต่เดินไม่ดี?
1. ภาวะกล้ามเนื้อลีบสะสม (Disuse Atrophy)
นี่คือสาเหตุอันดับ 1 เลยครับ ก่อนจะตัดสินใจผ่าตัด คนไข้ส่วนใหญ่มักทนปวดเข่ามานานหลายปี
- ช่วงที่ปวด เราจะเดินน้อยลง ลงน้ำหนักน้อยลง หรือเดินกระเผลก
- ร่างกายฉลาดครับ พอไม่ได้ใช้กล้ามเนื้อ มันก็สลายกล้ามเนื้อทิ้ง
- ผลคือ "เครื่องยนต์เล็กลง"
พอผ่าตัดเปลี่ยนเข่าเสร็จ หายปวดแล้ว แต่ "กล้ามเนื้อไม่ได้กลับมาด้วย" ครับ เปรียบเหมือนเอารถสปอร์ตมาใส่เครื่องมอเตอร์ไซค์ เหยียบคันเร่งเท่าไหร่รถก็ไม่ออกตัว คนไข้จะรู้สึกว่า "ขาหนัก ยกไม่ขึ้น ก้าวไม่ออก" เพราะไม่มีแรงถีบตัวครับ
2. ปัญหาซ่อนเร้นที่ "หลัง" (Spine-Knee Syndrome)
ข้อนี้สำคัญมากและเจอบ่อยในคนวัย 70+ ครับ คือมีความเสื่อมของ "กระดูกสันหลังส่วนเอว" ร่วมด้วย
- เส้นประสาทที่สั่งงานกล้ามเนื้อขา มันวิ่งมาจากหลังครับ
- บางคนหลังเสื่อม ทับเส้นประสาทนิดๆ ไม่ถึงกับปวดหลังมาก แต่ทำให้ "ไฟเดินไม่สะดวก"
- ขาเลยไม่มีแรง ชาๆ หรือทรงตัวไม่ดี ต่อให้เข่าดีแค่ไหน แต่ถ้าไฟจากหลังส่งมาไม่ถึง ขาก็ไม่มีแรงเดินครับ
3. สมองยังจำภาพเดิม (Brain Mapping Error & Fear)
คนไข้เดินเจ็บ เดินกะเผลกมา 10 ปี สมองบันทึกท่าเดินแบบนั้นไปแล้วครับ (Limping Habit)
- พอเปลี่ยนเข่าแล้ว หายเจ็บแล้ว แต่สมองยังสั่งให้ "เดินโยกตัว" หรือ "เดินเกร็ง" เพราะความเคยชิน
- บวกกับความ "กลัวล้ม" (Fear of Falling) ทำให้เวลาเดินจะเกร็งขาแข็งทื่อ ไม่ยอมงอเข่า จังหวะการเดินเลยดูขัดๆ ไม่เป็นธรรมชาติ ยิ่งเกร็ง ยิ่งเหนื่อย ยิ่งปวดเมื่อยครับ
4. การยึดติดของพังผืด (Stiffness)
หลังผ่าตัด ถ้าคนไข้กลัวเจ็บ ไม่ค่อยยอมกายภาพบำบัด ไม่ค่อยงอเข่าเหยียดเข่า พังผืดจะมาเกาะรอบๆ ข้อเทียม ทำให้เข่าฝืด งอได้ไม่สุด เหยียดได้ไม่สุด พอองศาการขยับไม่ได้ การเดินก็จะผิดจังหวะครับ
ทางออก: ต้องทำอย่างไรให้กลับมาเดินปร๋อ?
ถ้าหมอตรวจเช็คแล้วว่า ข้อเข่าเทียมแน่นดี ไม่มีการติดเชื้อ (ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่ต้องระวัง) การจะแก้ปัญหาเดินไม่ดี ต้องแก้ที่ "คน" ครับ
1. "ซ่อมเครื่องยนต์" (สร้างกล้ามเนื้อ)
การเดินเฉยๆ หรือแกว่งแขน ไม่พอที่จะสร้างกล้ามเนื้อครับ ต้องออกกำลังกายแบบมีแรงต้าน (Resistance Training)
- ท่านั่งเตะขา (Seated Knee Extension): นั่งเก้าอี้ เตะขาขึ้นตรงๆ เกร็งค้างไว้ 10 วินาที แล้วเอาลง ช้าๆ ทำข้างละ 20-30 ครั้งต่อวัน
- ท่ายืนเขย่ง: เกาะเก้าอี้ แล้วเขย่งปลายเท้า ขึ้น-ลง เพื่อสร้างกล้ามเนื้อน่อง
- เคล็ดลับ: ถ้าทำแล้วไม่ปวด ให้เพิ่มถุงทรายถ่วงน้ำหนักที่ข้อเท้า จะช่วยให้กล้ามเนื้อกลับมาไวขึ้น
2. "เติมเชื้อเพลิง" (กินโปรตีนให้ถึง)
ผู้สูงอายุชอบกินแต่ข้าวต้ม ผัก น้ำพริก ทำให้โปรตีนไม่พอสร้างกล้ามเนื้อครับ
- หลังผ่าตัด ต้องเน้นกิน ไข่ขาว ปลา อกไก่ หรือเวย์โปรตีน
- ถ้าโปรตีนถึง การกายภาพจะได้ผลไวขึ้นเป็นเท่าตัว
3. "จูนกล่องสมอง" (ฝึกเดินหน้ากระจก)
ต้องล้างโปรแกรมเก่าทิ้งครับ
- ให้คนไข้ยืนหากระจกบานใหญ่ๆ ดูท่าเดินตัวเอง
- ฝึกถ่ายน้ำหนัก ซ้าย-ขวา ให้มั่นใจ
- พยายามเดินให้ "ไหล่ไม่โยก" และ "งอเข่า" ทุกครั้งที่ก้าว
- บอกตัวเองเสมอว่า "เข่าดีแล้ว ไม่เจ็บแล้ว ลงน้ำหนักได้เต็มที่"
4. เช็ค "หลัง" อย่างละเอียด
ถ้าทำกายภาพมา 3-6 เดือนแล้ว กล้ามเนื้อขายังลีบ หรือมีอาการชา ขาอ่อนแรงชัดเจน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเอกซเรย์ดูกระดูกสันหลังครับ บางครั้งอาจต้องรักษาหลังควบคู่กันไป อาการเดินถึงจะดีขึ้น
สรุป: ต้องใช้เวลานานแค่ไหน?
การผ่าตัดเปลี่ยนเข่า ใช้เวลาผ่าแค่ 2 ชั่วโมง
แต่การฟื้นฟูให้เดินได้คล่องแคล่ว อาจใช้เวลา 3 - 6 เดือน หรือบางคนเป็นปีครับ ขึ้นอยู่กับ "ต้นทุนเดิม" ของกล้ามเนื้อ
สิ่งที่หมออยากบอกลูกหลาน
อย่าเพิ่งดุคุณพ่อคุณแม่ว่า "ทำไมไม่เดิน" "ขี้เกียจหรือเปล่า" เพราะท่านอาจจะกำลังสู้กับความกลัว หรือความอ่อนแรงที่ท่านเองก็ควบคุมไม่ได้
สิ่งที่ท่านต้องการคือ "ความมั่นใจ" และ "วินัยในการกายภาพ"
ลองเปลี่ยนจากคำบ่น เป็นการชวนท่านบริหารขา เติมไข่ต้มให้ท่านกิน และพาเดินสั้นๆ บ่อยๆ
จำไว้นะครับ... "เข่าเทียม คือโอกาส แต่การกายภาพ คือความสำเร็จ"
ถ้าเข่าดีแล้ว ส่วนที่เหลือเราสร้างเองได้ครับ สู้ๆ ครับ!
---
#เปลี่ยนข้อเข่าเทียม #ผ่าตัดเข่าแล้วเดินไม่ได้ #กล้ามเนื้อลีบ #กายภาพบำบัดเข่า #ผู้สูงอายุเดินเซ #หมอเก่งกระดูกและข้อ #ปวดหลังร้าวลงขา #เข่าเสื่อม #ฟื้นฟูหลังผ่าตัด #เดินลำบาก
https://www.facebook.com/share/1CzDinxUZJ/
บันทึก
1
3
1
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย