18 ธ.ค. เวลา 00:10 • ความคิดเห็น
คำถามนี้จริงๆแล้ว ตอบไม่ยากเลยครับ แต่ก่อนจะไปตอบว่าอะไรโฆษณาเกินจริงหรือไม่ เราต้องถามให้ถูกเวลาก่อน ถ้าไม่อย่างนั้นมันจะเหมือนเราไปถามคนจนที่อยู่ในสลัมที่บ้านมุงสังกะสี ว่าติดแอร์ดีไหม แน่นอนครับคนจนรู้จักแอร์ เขารู้ว่ามันต้องเย็นแน่ๆ แต่เขาจะตอบได้เต็มปากเต็มคำไหมว่าดีหรือไม่ดี เขาไม่เคยใช้ เขาไม่เคยอยู่กับมันจริงๆ เขารู้ได้แค่ว่ามันน่าจะดีกว่าสิ่งที่เขามีอยู่ตอนนี้
2
หรือถ้าไปถามคนจนว่าอยู่บ้านสามชั้นดีไหม เขาก็ตอบได้แค่ว่ามันต้องดีกว่าบ้านหลังเล็กๆ ของเขาแน่นอน แต่ข้อเสียของบ้านสามชั้นคืออะไร ต้องติดลิฟต์ไหม ค่าไฟแพงขึ้นหรือเปล่า ดูแลยากไหม เรื่องพวกนี้เขาคิดไม่ออกหรอกครับ ไม่ใช่เพราะเขาโง่ แต่เพราะเขาไม่เคยสัมผัสมันมาก่อน
1
อุปมานี้มันง่ายมาก เหมือนเราตอนเด็กนั่งดูโฆษณากับเพื่อน โฆษณาขนมปักกิ่ง เพลงโฆษณาร้องว่า คึกคัก คึกคัก กับปักกิ่ง หวานหวานมันส์มันส์ อารมณ์เดียวกันกินได้ทุกวัน หวานมันส์เหลือเฟือ เอ่าเชื่อมั้ย ปักกิ่ง! ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อกินไม่เคยเหลือ อร่อยเหลือเฟืออออออ ปักกิ่ง!
5
เพลงโฆษณามันบอกว่า เชื่อไหม ปักกิ่ง
เราก็อยากเชื่อตามโฆษณานั่นแหละ อยากกินด้วย
2
เราก็หันไปถามเพื่อนว่าขนมนี้อร่อยไหม มีรสอะไรบ้าง เพื่อนก็ตอบได้แค่ว่าน่าจะอร่อยแหละ เพราะมันก็ไม่เคยกินเหมือนกัน ถามต่อว่าแล้วมีใครเคยกินไหม ก็ไม่มีใครเคยกิน เพราะไม่มีเงินซื้อ สุดท้ายความรู้ทั้งหมดที่มีเกี่ยวกับขนมนี้ก็มาจากโฆษณาในทีวีเท่านั้น
คำตอบมันเลยได้แค่นั้นจริงๆ เพราะถ้าอยากรู้ว่าดีหรือไม่ดี ต้องได้สัมผัส ต้องได้ใช้ ต้องได้อยู่กับมันก่อน สิ่งนั้นต้องเกิดขึ้นกับเราจริงๆ ไม่ใช่แค่ฟังเขาเล่าให้ฟัง แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ไม่ใช่ว่าเอาของเหลือ เอาของชำรุด เอาของปลอม หรือของที่ไม่สมบูรณ์มาให้เราใช้ แล้วพอมันไม่ดี ก็สรุปว่าสิ่งนั้นไม่ดี แบบนั้นมันก็ไม่ยุติธรรมกับตัวสิ่งนั้นเหมือนกัน
1
เพราะฉะนั้น เวลาถามว่าประชาธิปไตยโฆษณาเกินจริงไหม เราต้องถามตัวเองก่อนว่า เราเคยได้ใช้ของจริงหรือยัง หรือเราแค่ดูโฆษณา แล้วถูกยัดของที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยจริงๆ มาให้ลองใช้ แล้วพอมันพัง เราก็สรุปว่าทั้งระบบมันห่วย แบบนั้นมันไม่ใช่การตัดสินจากประสบการณ์ แต่มันคือการตัดสินจากของปลอม
3
ดังนั้นคำถามนี้ตอบไม่ยากเลยครับ มันไม่ได้อยู่ที่ว่าโฆษณาเกินจริงหรือไม่ แต่มันอยู่ที่ว่า เราเคยได้ใช้ของจริงในสภาพที่มันควรจะเป็นแล้วหรือยัง ถ้ายัง คำตอบทั้งหมดก็จะวนอยู่แค่ในระดับเดา เหมือนคนที่ไม่เคยกินขนม แต่พยายามตัดสินจากเพลงโฆษณาเท่านั้นเอง
1
และต่อให้เราไปหยิบประเทศตัวอย่างที่เป็นประชาธิปไตยมาเทียบ มันก็ยังไม่รู้สึก ไม่เห็นอยู่ดี เพราะมันยังไม่ใช่ประสบการณ์ของเขาเอง เหมือนเดิมครับ เหมือนคนที่ไม่เคยอยู่บ้านสามชั้น ต่อให้เปิดยูทูบดูบ้านหรูทั้งวัน เขาก็เห็นได้แค่ภาพ แต่ไม่รู้สึกถึงการใช้ชีวิตจริงๆ ไม่รู้ว่ามันเปลี่ยนคุณภาพชีวิตตรงไหนบ้าง
1
ยิ่งประชาธิปไตยมันไม่ได้มีแค่มิติเดียว มันไม่ใช่แค่การเลือกตั้งแล้วจบ แต่มันมีเรื่องสิทธิเสรีภาพ เสรีภาพในการพูด การคิด การตั้งคำถาม การตรวจสอบอำนาจ ความเป็นธรรมของกฎหมาย โอกาสทางเศรษฐกิจ การเข้าถึงทรัพยากร และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิ่งเหล่านี้มันเป็นเรื่องที่ต้องอยู่กับมันจริงๆ ถึงจะเข้าใจ ไม่ใช่แค่ดูตารางเปรียบเทียบหรือฟังใครเล่า
2
เพราะถ้าคนไม่เคยมีสิทธิ เขาจะไม่รู้สึกถึงคุณค่าของสิทธิ ถ้าคนไม่เคยมีเสรีภาพ เขาจะไม่รู้ว่าการถูกจำกัดมันอึดอัดแค่ไหน เขาอาจเห็นประเทศนอร์ดิก เห็นยุโรป เห็นตัวเลขความเจริญ แต่ทั้งหมดนั้นก็ยังเป็นแค่ภาพไกลตัว เป็นเรื่องของคนอื่น ไม่ใช่ชีวิตของเขา
2
สุดท้ายมันเลยกลับมาที่จุดเดิม ต่อให้ยกตัวอย่างทั้งโลก ต่อให้เอางานวิจัย เอาสถิติ เอาประเทศต้นแบบมาอธิบาย ถ้าคนยังไม่เคยสัมผัสประชาธิปไตยจริงๆ ในชีวิตประจำวัน คำตอบก็จะยังวนอยู่แค่ระดับความเชื่อ ไม่ใช่ความเข้าใจ และยิ่งถ้าเราเอาของปลอม เอาประชาธิปไตยแบบพิการ แบบถูกตัดทอนสิทธิ มาให้เขาใช้ แล้วบอกว่านี่แหละประชาธิปไตย มันก็ยิ่งตอกย้ำความเข้าใจผิดเข้าไปอีก
2
เพราะฉะนั้น การจะบอกว่าประชาธิปไตยดีหรือไม่ดี มันไม่ใช่เรื่องของการโฆษณา ไม่ใช่เรื่องของการยกตัวอย่างประเทศอื่น แต่มันคือคำถามง่ายๆ ว่า เราเคยได้อยู่กับมันจริงๆ ครบมิติ ครบสิทธิ ครบเสรีภาพแล้วหรือยัง ถ้ายัง คำตอบทั้งหมดก็ยังเป็นแค่การเดา เหมือนเดิมครับ
3
โฆษณา