19 ธ.ค. เวลา 01:36

เจ้าของแบรนด์ล้มและเลิกกิจการกันเพียบ ทั้งที่ปีก่อน...

ปี 2568 เป็นปีที่โหดมาก
โหดกว่าที่หลายคนคิด
โหดกว่าปีไหน ๆ ที่ผ่านมา
.
เจ้าของแบรนด์ล้มและเลิกกิจการกันเพียบ
ทั้งที่ปีก่อน... ยังเห็นเจ้าของแบรนด์ได้ยอด
100 ล้าน 1,000 ล้านกันอยู่เลย
.
โดยเฉพาะเจ้าของที่เอาตัวเองเป็นตัวเอก
ทั้งทำคลิป ทั้งไลฟ์สด ออกกล้องเอง
ก็ปีก่อนๆ มันก็เคยทำได้มาตลอด
แต่ปีนี้เป็นปีคัดคนจริง…ไม่ใช่ปีของคนดัง
.
สาเหตุหลักก็คือ ครีเอเตอร์กว่า 9 ล้านบัญชี
คิดเป็น 13.65% ของประชากรไทย
และลูกค้าก็เชื่อครีเอเตอร์
มากกว่าเจ้าของแบรนด์
.
อีกทั้งจำนวนคนซื้อเท่าเดิม
แต่คนขาย คนทำคอนเทนต์เยอะขึ้น
ไม่แปลกที่วิวแต่ละคนจะน้อยลง
.
เจ้าของแบรนด์จึงจำเป็นต้องยิง ads
เพื่อแย่งยอดวิวที่จะขายของ
ให้ได้ยอดขายที่เท่าเดิมหรือน้อยกว่าเดิม
อีกทั้งค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้น ต้นทุนต่างๆ สูงขึ้น
.
ทำให้เจ้าของแบรนด์จำนวนไม่น้อย
ติดหนี้ ล้ม แยกวง แตกหักกันเอง
เพราะยิ่งขายยิ่งเจ๊ง เหนื่อยแทบตาย
สุดท้ายไม่เหลืออะไรเลย ยกเว้นหนี้!
.
ไม่ใช่เพราะเขาไม่เก่ง
ไม่ใช่เพราะสินค้าไม่ดี
แต่เพราะ “ระบบ” มันไม่พาไปต่อ
.
ในขณะที่เจ้าของแบรนด์อีกประเภท
ไม่ค่อยออกสื่อ ไม่ค่อยโพสต์
ไม่ค่อยพูดคำว่า Passion
.
แต่กลับอยู่รอด และโตต่อแบบเงียบ ๆ
เจ้าของแบรนด์ยุคนี้
ไม่ได้แพ้เพราะขายไม่เก่ง
แต่แพ้เพราะ “ขายแบบไม่มีระบบ”
.
ปีนี้ผมเห็นชัดมาก
แบรนด์ที่พึ่ง
Ads อย่างเดียว
Live อย่างเดียว
ตัวเจ้าของเป็นทุกอย่างของแบรนด์
.
พอแรงตก = ยอดหาย
พอไม่ไหว = ทุกอย่างหยุด
.
นี่ไม่ใช่ธุรกิจ
นี่คือ “งานฟรีแลนซ์ขนาดใหญ่
แล้วใครรอด?
.
> คนที่รอด คือ...
คนที่กระจายแรงขายออกจากตัวเอง
.
หนึ่งในนั้นคือเจ้าของแบรนด์
ที่ทำ Influencer Marketing อย่างเป็นระบบ
.
ไม่ใช่แค่ส่งของมั่ว ๆ
ไม่ใช่แค่หวังไวรัล
ไม่ใช่แค่ “ลองดู”
.
แต่เป็นคนที่เข้าใจว่า
Influencer = ช่องทางขาย
ไม่ใช่ของตกแต่งแบรนด์
.
ความจริงที่ต้องพูดตรง ๆ
Influencer Marketing
ไม่ได้ทำให้ทุกคนโตเท่ากัน
.
ผมขอพูดแบบไม่ปลอบใจใครนะ
บางคนโตมาก
บางคนโตน้อย
แต่ “ส่วนใหญ่รอด”
.
แค่นี้ก็ชนะคนกว่าครึ่งตลาดแล้ว
ทำไมถึงเป็นแบบนั้น?
.
เพราะ Influencer Marketing ที่ดี
มันไม่ใช่สูตรลัด
แต่มันคือ ระบบลดความเสี่ยง
.
ทำไมบางคนโตมาก?
เพราะเขาทำ 3 เรื่องนี้พร้อมกัน
.
1. กระจาย Influencer จำนวนมาก
ไม่ฝากความหวังไว้ที่ใครคนเดียว
ไม่รอไวรัล
แต่ดู “ยอดรวม” เป็นหลัก
.
2. วัดผลเป็นระบบ
รู้ว่าใครขายได้
ใครแค่สร้างภาพ
ใครควรต่อ ใครควรพอ
.
3. คิดเป็นธุรกิจ ไม่ใช่ความรู้สึก
ไม่อินกับคำชม
ไม่หลงกับยอดวิว
โฟกัสแค่ “เงินเข้า – เงินออก” (Cash flow)
.
แล้วทำไมบางคนโตน้อย?
เพราะ ทำแต่ไม่ต่อเนื่อง
เลือก Influencer จากชื่อเสียง
ไม่ใช่ Conversion
.
ไม่มีระบบหลังบ้านรองรับ
โต…แต่โตแบบเหนื่อย
โต…แต่กำไรบาง
โต…แต่หยุดไม่ได้
.
และที่สำคัญที่สุดคือ
คนที่ทำเป็นระบบ ส่วนใหญ่ “ไม่ตาย”
ในปีที่แบรนด์อื่นต้อง...
.
ลดคน!
เลิกบางแผนก!
หยุดไลน์ผลิต!
เลิกทำบางสินค้า!
.
คนกลุ่มนี้ยังขายได้
อาจไม่หวือหวา
แต่อยู่ได้
หมุนเงินได้
เลี้ยงทีมได้
.
และในปี 2569
คนกลุ่มนี้แหละ
จะเป็นคนที่ “เก็บตลาด”
.
ปี 2569 ไม่ใช่ปีของคนเสียงดัง
แต่เป็นปีของคนที่มีระบบ
ใครยังคิดว่า
“เดี๋ยวค่อยทำระบบตอนโต”
.
ผมพูดตรงๆ คุณอาจไม่ทันโต
เพราะปีหน้า เงินแพงขึ้น
คนระวังการใช้จ่ายมากขึ้น
.
Platform ไม่ใจดีเหมือนเดิม
ใครไม่มีระบบ
จะเหนื่อยกว่าเดิม 2 เท่า
แต่ได้ผลเท่าเดิม หรือแย่กว่าเดิม
.
ปีนี้–ปีหน้า ไม่ใช่ปีวัดว่าใครเก่งพูด
แต่เป็นปีที่วัดกันว่า ใครออกแบบ
“เครื่องผลิตยอดขาย” ได้ดีกว่ากัน
.
Influencer Marketing
ไม่ใช่คำตอบของทุกคน
แต่เป็น คำตอบของคนที่อยากรอด
และอยากโตแบบไม่แบกทุกอย่างเอง
.
ปี 2568 = ปีคัดคน
ปี 2569 = ปีเก็บเกี่ยว
.
คำถามคือ
คุณจะอยู่ฝั่งไหน?
.
1.แบรนด์ที่พึ่งเจ้าของเป็นหลัก
.
2.แบรนด์ที่พึ่งอินฟลูเป็นหลัก
.
3.แบรนด์ที่ใช้ทั้งสองอย่างเลย
.
4.ไม่ทำแบรนด์แม่งแล้ว เหนื่อย!
ขอย้ายไปเป็นครีเอเตอร์ดีกว่า
ซึ่งอาจจะเหนื่อยกว่าเดิม 555+
.
คอมเมนต์ 1-4 มาบอกกันหน่อยครับ
.
9K - นายเค
โฆษณา