วันนี้ เวลา 07:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

แช่แข็งบิ๊กโปรเจ็กต์ 1.4 ล้านล้าน ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน‘คมนาคม-เกษตร-น้ำ’เลื่อนยาว

  • การยุบสภาทำให้รัฐบาลอยู่ในสถานะรักษาการ ส่งผลให้โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่มูลค่ารวมกว่า 1.4 ล้านล้านบาทต้องหยุดชะงัก เนื่องจากมีข้อจำกัดทางกฎหมาย
  • โครงการสำคัญที่ได้รับผลกระทบครอบคลุมหลายกระทรวง เช่น คมนาคม (รถไฟความเร็วสูง, รถไฟทางคู่), การบริหารจัดการน้ำ และโครงการเร่งด่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • ทุกโครงการที่ถูกชะลอไว้จำเป็นต้องรอการพิจารณาและอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลชุดใหม่หลังการเลือกตั้ง ซึ่งทำให้แผนการลงทุนและการพัฒนาประเทศต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด
1
ปรับสถานะเป็นรัฐบาลรักษาการ และกำหนดจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 ภาพรวมการบริหารราชการแผ่นดินได้เปลี่ยนผ่านเข้าสู่โหมด “รักษาการ” อย่างเป็นทางการ ซึ่งแม้จะยังสามารถบริหารงานประจำและดำเนินภารกิจจำเป็นได้ตามกรอบกฎหมาย แต่การใช้อำนาจเชิงนโยบาย โดยเฉพาะการอนุมัติโครงการลงทุนขนาดใหญ่ กลับถูกจำกัดอย่างมีนัยสำคัญ
รัฐบาลรักษาการภายใต้กรอบข้อห้ามและแนวปฏิบัติของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องหลีกเลี่ยงการตัดสินใจที่อาจถูกตีความว่าเป็นการผูกพันรัฐบาลชุดถัดไป หรือเป็นการใช้งบประมาณในลักษณะเอื้อประโยชน์ทางการเมือง ส่งผลให้หลายโครงการที่อยู่ระหว่างการพิจารณา ไม่สามารถเดินหน้าต่อได้ในช่วงรอยต่อทางการเมือง
จากการรวบรวมข้อมูลของ “ฐานเศรษฐกิจ” พบว่า โครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐจากหลายหน่วยงาน ซึ่งอยู่ระหว่างรอการพิจารณาอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมูลค่ารวมมากกว่า 1.40 ล้านล้านบาท ครอบคลุมทั้งโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ การเกษตร พลังงาน การค้า และการลงทุนของรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ โดยโครงการเหล่านี้ล้วนถูกคาดหวังให้เป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในช่วงปี 2569–2575
อย่างไรก็ดี เมื่อประเทศเข้าสู่ช่วงรัฐบาลรักษาการ เครื่องยนต์ดังกล่าวกลับต้องชะลอการเดินเครื่องลงโดยปริยาย และกลายเป็นโจทย์ใหญ่ที่ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนต้องประเมินผลกระทบอย่างใกล้ชิด
  • คมนาคม 6 แสนล้านชะงัก
แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ปัจจุบันมีโครงการขนาดใหญ่ที่อยู่ระหว่างรอการเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบ จำนวน 9 โครงการ วงเงินรวม 603,362 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นกลุ่มโครงการที่มีผลต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมของประเทศในระยะยาว
โครงการเหล่านี้ครอบคลุมทั้งระบบราง ระบบถนน และทางพิเศษในเขตเมือง ซึ่งหากสามารถเดินหน้าได้ตามแผน จะเป็นแรงกระตุ้นการลงทุน การจ้างงาน และการเชื่อมโยงเศรษฐกิจในหลายภูมิภาคของประเทศ อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานะรัฐบาลรักษาการ ทำให้การตัดสินใจเชิงนโยบายต้องถูกชะลอ โดยเฉพาะโครงการที่มีวงเงินสูงและมีความซับซ้อนทางกฎหมาย
  • รถไฟความเร็วสูง 3 สนามบินรอทบทวน
โครงการที่ถูกจับตามากที่สุด คือ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) วงเงินประมาณ 224,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นโครงการเรือธงด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2568 ที่ประชุมคณะกรรมการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้รับทราบให้มีการทบทวนหลักการของโครงการ ตามมติคณะรัฐมนตรี เนื่องจากยังมีประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติมให้รอบคอบ
ก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาของโครงการ และมีข้อสรุปว่าจำเป็นต้องนำเรื่องเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา เพื่อขอทบทวนหลักการของโครงการ ควบคู่ไปกับการรับฟังความเห็นจากอัยการสูงสุด
  • 2 ปมใหญ่ “ค่าสิทธิ ARL-สร้างไปจ่ายไป”
การทบทวนหลักการโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน มี 2 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1.การชำระค่าสิทธิ Airport Rail Link (ARL) และ 2.การปรับวิธีการจ่ายเงินลงทุนของภาครัฐในลักษณะ “สร้างไปจ่ายไป” ทั้งสองประเด็นนี้ในอดีตไม่เคยถูกเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบโดยตรง แต่เป็นเพียงการเห็นชอบในระดับคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ซึ่งอัยการสูงสุดมีความเห็นให้ทบทวนให้ทวนในประเด็นดังกล่าว เพื่อให้เกิดความชัดเจนทางกฎหมาย
สำหรับประเด็นการชำระค่าสิทธิ ARL จากเดิมที่เอกชนคู่สัญญาต้องชำระเงิน 10,671.09 ล้านบาท ให้แก่การรถไฟแห่งประเทศไทย ภายใน 2 ปีหลังลงนามในสัญญาร่วมลงทุน ได้มีการปรับเงื่อนไขใหม่ให้เอกชนต้องชำระพร้อมดอกเบี้ย 1,060.04 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 11,731.13 ล้านบาท โดยแบ่งชำระเป็น 7 งวด
ขณะที่ประเด็น “สร้างไปจ่ายไป” เป็นการปรับวิธีการจ่ายเงินลงทุนของภาครัฐ จากเดิมที่รัฐจะจ่ายเมื่อเอกชนเปิดให้บริการรถไฟความเร็วสูง เปลี่ยนเป็นการจ่ายเงินเป็นงวดตามความก้าวหน้าของงานก่อสร้างที่ รฟท. ตรวจรับ วงเงินไม่เกิน 120,000 ล้านบาท พร้อมกำหนดให้เอกชนวางหลักประกันเพิ่มเติมรวม 160,000 ล้านบาท เพื่อรับประกันการก่อสร้างและการเปิดให้บริการภายใน 5 ปี
  • ขั้นตอนซ้ำซ้อน รอการเมืองปลดล็อก
หลังจากคณะกรรมการ รฟท. รับทราบแนวทางการทบทวนแล้ว ขั้นตอนต่อไปยังต้องเสนอให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) พิจารณา ก่อนนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) และสุดท้ายจึงจะเสนอคณะรัฐมนตรี
อย่างไรก็ดี ภายใต้สถานะรัฐบาลรักษาการ กระบวนการดังกล่าวยังไม่สามารถเดินหน้าได้อย่างเต็มรูปแบบ ทำให้โครงการยังต้องอยู่ในสถานะ “รอการเมือง” ต่อไป
  • รถไฟทางคู่–มอเตอร์เวย์ดับเบิลเด็ค หยุดรอ
นอกจากโครงการรถไฟความเร็วสูง ยังมีโครงการสำคัญอื่นของกระทรวงคมนาคมที่อยู่ระหว่างรอการพิจารณา ได้แก่ โครงการรถไฟทางคู่ระยะที่ 2 จำนวน 6 เส้นทาง วงเงินรวมเกือบ 290,000 ล้านบาท,โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) ช่วงนครปฐม–ปากท่อ (M8) วงเงิน 54,562 ล้านบาท และโครงการทางพิเศษยกระดับชั้นที่ 2 (Double Deck) วงเงิน 34,800 ล้านบาท ซึ่งทุกโครงการล้วนต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ซึ่งในช่วงรัฐบาลรักษาการ ทำให้ไทม์ไลน์การดำเนินงานมีแนวโน้มเลื่อนออกไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
  • โปรเจ็กต์น้ำ 2 แสนล้าน “ค้างท่อ”
ขณะที่ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ก็เผชิญกับสถานการณ์ไม่ต่างกัน นางพัชรวีร์ สุวรรณิก รองเลขาธิการ สทนช. ในฐานะโฆษก สทนช. เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ขณะนี้มีโครงการด้านทรัพยากรน้ำ จำนวน 9 โครงการ ที่ผ่านการเห็นชอบในหลักการจากคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) แล้ว แต่ยังต้องรอรัฐบาลใหม่พิจารณาอนุมัติในขั้นสุดท้าย
โครงการดังกล่าวมีมูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 200,000 ล้านบาท และเป็นแผนงานระยะยาว บางโครงการมีระยะเวลาดำเนินการยาวถึง 10 ปี ครอบคลุมทั้งการป้องกันน้ำท่วม การบริหารจัดการน้ำต้นทุน และการพัฒนาระบบประปาในหลายพื้นที่
นางพัชรวีร์ ระบุว่า เมื่อเข้าสู่ช่วงรัฐบาลรักษาการ โครงการเหล่านี้ไม่สามารถเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาได้ ทำให้ต้องรอให้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาพิจารณาว่าจะเดินหน้าตามมติเดิมหรือปรับเปลี่ยนแนวทางอย่างไรต่อไป
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวจากคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) เปิดเผยว่า ในการประชุม กนช. ครั้งที่ 5/2568 เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2568 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบมาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี 2568/2569 จำนวน 8 มาตรการ รวมถึงการเห็นชอบผังน้ำเพิ่มเติม 6 ผัง ซึ่งมาตรการเหล่านี้ถือเป็นภารกิจเร่งด่วนที่รัฐบาลรักษาการสามารถดำเนินการได้ทันที มาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อป้องกันและบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำ และลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติด้านน้ำในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศ
  • เกษตรฯ เร่งของบกลางฝ่าสุญญากาศ
ขณะที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหนึ่งในหน่วยงานที่พยายาม “เร่งเครื่องก่อนยุบสภา” เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากสุญญากาศเชิงนโยบาย โดยเฉพาะภารกิจที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกรโดยตรง ซึ่งไม่สามารถชะลอออกไปได้
ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระบุว่า ในปีงบประมาณ 2569 กระทรวงได้รับการจัดสรรงบประมาณจำนวน 132,918.1446 ล้านบาท และมีเงินนอกงบประมาณสมทบอีก 366.3399 ล้านบาท รวมเป็นงบประมาณทั้งสิ้น 133,284.4845 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2568 จำนวน 7,558.1770 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.01
อย่างไรก็ดี แม้งบประมาณจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่โครงสร้างงบประมาณส่วนใหญ่ยังเป็นงบประจำ ไม่เพียงพอรองรับภารกิจเร่งด่วนที่เกิดขึ้นเป็นระยะ ทำให้กระทรวงจำเป็นต้องเสนอขอรับการจัดสรรงบกลางเพิ่มเติมจากคณะรัฐมนตรี
แหล่งข่าวจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ล่าสุดกระทรวงได้เสนอของบกลางเพื่อดำเนินการใน 6 โครงการเร่งด่วน ใช้งบรวมกว่า 10,000 ล้านบาท โดยต้องการให้คณะรัฐมนตรีภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล พิจารณาอนุมัติให้แล้วเสร็จก่อนการยุบสภา(แต่ก็ไม่ทัน)
  • 6 โครงการ เดิมพันภาคเกษตร
โดยโครงการเร่งด่วนทั้ง 6 โครงการ ประกอบด้วย 1.โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม ปี 2569 วงเงินกว่า 1,869 ล้านบาท 2.โครงการแก้ไขปัญหานมกล่องค้างสต็อกในโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน วงเงิน 800 ล้านบาท 3.โครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียนครบทุกวัน วงเงินกว่า 2,700 ล้านบาท
4.โครงการเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยภาคใต้ ครัวเรือนละ 3,000 บาท วงเงินรวม 3,672 ล้านบาท 5.โครงการพัฒนาการเกษตรในชุมชนด้วยอาสาสมัครเกษตรและสหกรณ์ (อกส.) วงเงิน 845 ล้านบาท และ 6.โครงการสำคัญอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการยกระดับการผลิตและสร้างความมั่นคงด้านอาหารในชุมชน
แหล่งข่าวระบุว่า โครงการทั้งหมดเป็นภารกิจที่มีความจำเป็นเร่งด่วน หากไม่สามารถผลักดันให้ได้รับการอนุมัติก่อนการยุบสภา จะทำให้การดำเนินการต้องหยุดชะงัก และรอรัฐบาลใหม่เข้ามาพิจารณา ซึ่งอาจใช้เวลาหลายเดือน
  • พลังงานสะอาดสะดุด
ในฝั่งพลังงาน สถานการณ์รัฐบาลรักษาการส่งผลให้หลายโครงการสำคัญต้องชะลอการตัดสินใจ โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาดและโครงสร้างพื้นฐานระยะยาว
แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ยังมีหลายโครงการที่อยู่ระหว่างรอการพิจารณาอนุมัติจากรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นโครงการโซลาร์สูบน้ำเพื่อเกษตรกร เป้าหมาย 1,200 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่กว่า 700,000 ไร่,โครงการโซลาร์ลอยน้ำ 3 เขื่อนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนวชิราลงกรณ และเขื่อนศรีนครินทร์ กำลังผลิตรวม 1,638 เมกะวัตต์,โครงการสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสะอาดโดยตรง (Direct PPA)
ทั้งนี้โครงการ Direct PPA ถือเป็นหนึ่งในนโยบาย Quick Big Win ที่ตั้งเป้าเริ่มดำเนินการภายในเดือนมกราคม 2569 แต่ด้วยสถานะรัฐบาลรักษาการ ทำให้การตัดสินใจเชิงนโยบายต้องชะลอออกไป
โดยโครงการ Direct PPA คาดว่าจะสร้างเม็ดเงินลงทุนกว่า 65,000 ล้านบาท และก่อให้เกิดการจ้างงานกว่า 3,000 ตำแหน่ง มุ่งรองรับอุตสาหกรรม Data Center และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ภาคเอกชนจะได้รับประโยชน์จากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบพลังงาน เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ทั้ง Data Center การพัฒนาระบบไฟฟ้าในพื้นที่ EEC และโครงการโซลาร์ภาคเกษตร
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวยอมรับว่า ทุกนโยบายอาจถูกปรับเปลี่ยนเมื่อมีรัฐบาลหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนใหม่ ทำให้ภาคเอกชนจำนวนไม่น้อยเลือกชะลอการตัดสินใจลงทุน ขณะเดียวกัน แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) ฉบับใหม่ กำลังอยู่ระหว่างการจัดทำ โดยมีการตั้งคณะอนุกรรมการพยากรณ์และจัดทำแผน เพื่อกำหนดทิศทางการจัดหาไฟฟ้าในระยะยาว ซึ่งทิศทางเหล่านี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามนโยบายของรัฐบาลใหม่
  • เกมใหญ่ “พาณิชย์” รอ ครม. ใหม่
ด้านกระทรวงพาณิชย์ แหล่งข่าวเปิดเผยว่า โครงการส่วนใหญ่ที่อยู่ระหว่างดำเนินการยังสามารถเดินหน้าต่อได้ภายใต้รัฐบาลรักษาการ เนื่องจากเป็นโครงการที่ผ่านการเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีมาแล้วโดยเฉพาะมาตรการช่วยเหลือสินค้าเกษตร การขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G-to-G) กับประเทศจีน ปริมาณรวม 500,000 ตัน ซึ่งในส่วนของสัญญาเดิม 280,000 ตัน ยังคงดำเนินการตามแผน ขณะที่ส่วนที่เสนอเพิ่มเติมอีก 220,000 ตัน คณะรัฐมนตรีได้รับทราบการเจรจาและมีมติให้เร่งรัดดำเนินการ
ด้านการเจรจาการค้า การเจรจาภาษีกับสหรัฐอเมริกา มีสัญญาณบวกจากผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ที่พร้อมเดินหน้าเจรจาทางเทคนิค ขณะเดียวกัน ไทยได้ลงนามความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับกลุ่ม EFTA แล้ว และอยู่ระหว่างกระบวนการภายในประเทศขั้นตอนต่อไปต้องเสนอให้คณะรัฐมนตรีชุดใหม่พิจารณา ก่อนส่งต่อให้รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบ ทำให้กระบวนการทั้งหมดต้องรอรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง
อีกหนึ่งภารกิจสำคัญของกระทรวงพาณิชย์ คือ การแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจนอมินี โดยล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย (คสธก.) ได้เห็นชอบแนวทางจัดทำร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี และแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 2 ชุด เพื่อดำเนินการตรวจสอบและป้องกันธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว
  • โปรเจ็กต์ 4.8 หมื่นล้าน ทอท. ชะงัก
ส่วนบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. นางสาวปวีณา จริยฐิติพงศ์ ผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. เปิดเผยว่า ขณะนี้ ทอท. อยู่ระหว่างสอบถามไปยังสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เกี่ยวกับความชัดเจนของโครงการลงทุนเร่งด่วน 2 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 48,000 ล้านบาท
โครงการแรก คือ โครงการลงทุนส่วนต่อขยายด้านทิศตะวันออก (East Expansion) ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ วงเงินประมาณ 12,000 ล้านบาท ซึ่งได้รับการอนุมัติตั้งแต่ปี 2559 และมีงบประมาณรองรับอยู่แล้ว
โครงการที่สอง คือ โครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมือง ระยะที่ 3 ซึ่งต้องขออนุมัติปรับเพิ่มวงเงินลงทุนจากเดิม 36,829.499 ล้านบาท เนื่องจากการประเมินวงเงินเดิมจัดทำไว้ตั้งแต่ปี 2561
ส่วนโครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมือง ระยะที่ 3 จะก่อสร้างอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศหลังใหม่ หรืออาคาร 3 ด้านทิศใต้ พื้นที่ใช้สอยกว่า 166,000 ตารางเมตร เพื่อรองรับผู้โดยสารระหว่างประเทศ โดยใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 5 ปี และคาดว่าจะเปิดใช้งานในปี 2573 หากคณะรัฐมนตรีเห็นชอบ ทอท. คาดว่าจะสามารถเปิดประมูลได้ในระยะเวลาอันใกล้
โฆษณา