Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Bigmama ชวนอ่าน
•
ติดตาม
เมื่อวาน เวลา 07:32 • สุขภาพ
เร็ว ๆ นี้ ค่ารักษาพยาบาล จะกลายเป็น “ของฟุ่มเฟือย” ที่คนไทยอาจเอื้อมไม่ถึง | Money Buffalo
ตอนนี้ “ค่ารักษาพยาบาล” บ้านเรากำลังแพงขึ้นแบบน่าตกใจจริง ๆ โดยเฉพาะใน โรงพยาบาลเอกชน ซึ่งเป็นภาคส่วนที่ราคาพุ่งแรงที่สุด และเป็นที่พึ่งของหลายครอบครัวเวลาต้องการการรักษาที่รวดเร็วหรือเฉพาะทางมากขึ้น
ขณะเดียวกัน โรงพยาบาลรัฐ แม้จะยังเป็นตัวเลือกที่ “ราคาเข้าถึงง่าย” และคุณภาพดี แต่ก็เผชิญปัญหา ล้น–แออัด–รอนาน จากความต้องการใช้บริการที่สูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้คนจำนวนไม่น้อยต้องไหลไปใช้บริการเอกชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อทั้งสองระบบเผชิญแรงกดดันคนละแบบ ผลลัพธ์ก็คือ ภาระค่ารักษาของประชาชนเพิ่มเร็วกว่าเงินเดือนโตหลายเท่า จนหลายคนเริ่มพูดกันว่า“ป่วยที…เงินเก็บหายไปครึ่งชีวิต”
ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้น ค่ารักษามีแนวโน้มจะพุ่งเฉลี่ย ปีละเกือบ 14.3% ในขณะที่รายได้แทบไม่ขยับเลย ถ้าไม่วางแผนกันตั้งแต่วันนี้ “สุขภาพ” อาจกลายเป็นของฟุ่มเฟือยจริง ๆ สำหรับหลายครอบครัว
📌แล้วทำไมค่ารักษาพยาบาลถึงแพงขึ้นขนาดนี้ ?
1. "ค่ายา–เวชภัณฑ์ “ถูกบวกเพิ่ม” จนคนไข้ตกใจ
ของบางอย่างราคาในตลาดไม่กี่บาท แต่พอเข้าโรงพยาบาลราคาพุ่งเป็นสิบเท่า ร้อยเท่า อย่างเช่น
สำลี 0.10 → 7 บาท
น้ำเกลือ 45 → 919 บาท
พลาสเตอร์ 25 → 224 บาท
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า “โครงสร้างราคา” ในระบบสุขภาพไทยกำลังบิดเบี้ยวแบบที่คนไข้ไม่เคยมีสิทธิเลือก
2. “ค่าห้อง” รักษานอนโรงพยาบาลกลายเป็นเรื่องใหญ่
ค่าห้องโรงพยาบาลเอกชนดี ๆ หน่อยเริ่มต้นประมาณคืนละ 5,000 บาท และอาจแตะ 15,000–16,000 บาท แล้วไหนจะค่าหมอ ค่าตรวจ ค่ายา และค่าบริการต่าง ๆ ที่ทยอยบวกเข้ามาอีก แค่ไม่กี่คืน บิลก็พุ่งไปหลักหมื่น–หลักแสนได้ง่ายมาก
3. “ค่าหมอ” เป็นตัวกำหนดราคาค่ารักษามากกว่าที่เราคิด
จากงานวิจัยของสภาผู้บริโภคพบว่า โครงสร้างต้นทุนของโรงพยาบาลเอกชนส่วนใหญ่ เกือบครึ่ง คือ “ค่าหมอ” และสิ่งที่น่าสนใจ คือสัดส่วนนี้เพิ่มขึ้นเร็วมาก จาก 30% ในปี 2561 → พุ่งเป็น 45% ในปี 2565
ตัวเลขนี้สะท้อนชัดว่า ค่าหมอคือปัจจัยหลักที่ดันราคาค่ารักษาพยาบาลให้สูงขึ้นต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ค่ายา หรือค่าเครื่องมือแพง ๆ อย่างที่หลายคนคิด
3. “เบิกแบบบุฟเฟต์” ทำให้ทั้งระบบบวม
ทั้งสิทธิข้าราชการ บัตรทอง และประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย เปิดให้ “เบิกเต็มสิทธิ” โดยที่คนไข้ไม่ต้องควักเงินเพิ่ม เวลาหมอแนะนำให้ตรวจเพิ่ม ใช้เทคโนโลยีแพง หรือ Admit คนไข้ก็รู้สึกว่า “ไหน ๆ ก็เบิกได้ ก็ทำไปเถอะ” แต่พอทุกคนใช้แบบนี้พร้อมกัน ค่ารักษาทั้งประเทศก็พุ่งขึ้นโดยอัตโนมัติ จนส่งผลทำให้สุดท้ายทุกคนต้องมาร่วมกันจ่ายในรูปแบบอื่นอยู่ดี เช่น เบี้ยประกันที่แพงขึ้นทุกปี
แบบนี้เมื่อทุกอย่างแพงขึ้น สิ่งที่เราทำได้คงมีแต่ ทำใจและหาทางรับมือให้ดีที่สุด พี่ทุยเลยสรุปออกมาให้แล้วว่า มี 3 วิธีสำคัญ ที่ทุกคนควรเริ่มทำทันที ก่อนที่ “ค่ารักษาพุ่งไม่หยุด” จะทำให้เราตั้งหลักไม่ทันและทุกอย่างมันสายเกินเอื้อม
📌แล้วเราจะรับมือกับปัญหานี้ยังไงดี ?
1. “เริ่มจากสิทธิที่มีอยู่ก่อน” อย่าหมิ่นสวัสดิการรัฐ มันไม่ได้แย่ แค่...รอนาน
ก่อนจะวิ่งไปซื้อประกัน หรือโดดไปโรงพยาบาลเอกชน พี่ทุยอยากให้ทุกคน “รู้ก่อนว่าตัวเองมีสิทธิอะไรบ้าง”
เพราะหลายคนลืมไปเลยว่า…
- บัตรทองรักษาโรคพื้นฐานได้เยอะมาก
- ประกันสังคมมีหมวดโรคร้ายแรงหลายอย่างที่คุ้มครอง
- บางคนมีสิทธิจากที่ทำงาน สามี ภรรยา หรือพ่อแม่ อยู่แล้ว
- บางบริษัทให้สิทธิรักษาเอกชนปีละหลายหมื่น
- บางทีสิทธิที่เรามีอยู่แล้ว ดีจนแทบไม่ต้องซื้อประกันเพิ่ม ก็ยังมีนะ!
ส่วนสวัสดิการรัฐไม่ได้แย่ มันแค่ “ล้น” จนรอนานเฉย ๆ แต่ในเชิงคุณภาพและความครอบคลุมถือว่าดีมากสำหรับโรคทั่วไป กฎง่าย ๆ คือ ใช้สิทธิรัฐ–สิทธิที่มีอยู่ “ให้คุ้มที่สุดก่อน” เพราะนี่คือวิธีลดค่าใช้จ่ายที่เร็วและคุ้มที่สุด โดยไม่ต้องควักเงินเพิ่มแม้แต่บาทเดียว
2. “ซื้อประกันยังไงให้ฉลาด” ไม่ใช่ถูกที่สุด แต่ต้องอยู่กับเราไปนานที่สุด
ช่วงนี้ดราม่าประกันสุขภาพมาแรงมาก พี่ทุยเลยอยากสอนให้แบบ เคลียร์ ๆ ว่า ถ้าอยากประหยัดระยะยาว ให้ใช้สูตรนี้เลย คือ ซื้อแบบเหมาจ่าย + ผูกกับประกันชีวิต + เสริมโรคร้ายแรง
ทำไมต้องแบบนี้ ? เพราะ…
- ประกันสุขภาพแบบ “เดี่ยว” เสี่ยงโดนปรับเบี้ย–โดนปฏิเสธง่ายมาก สัญญามันต่อปีต่อปี ถ้าสุขภาพเราแย่ลง เขามีสิทธิ์ขึ้นเบี้ยแรง ๆ หรือเลิกคุ้มครองได้
- ประกันสุขภาพแบบ “พ่วงประกันชีวิต” จะล็อกความเสี่ยงเราไว้ตั้งแต่วันแรก บริษัทประกันจะยึดสุขภาพเรา “วันที่เริ่มทำ” แล้วคุ้มครองเราไปยาว ๆ ไม่ต้องลุ้นทุกปี
- ประกันโรคร้ายแรง กันการเกิดเคสหนัก ๆ เช่น มะเร็ง หัวใจ ไตวาย มักเป็นค่ารักษา หลักแสน–ล้าน ตัวนี้ช่วยปิดความเสี่ยงขนาดใหญ่ได้ดีมาก โดยจ่ายเบี้ยไม่สูง
สรุปแล้วเราควรซื้อตามวงเงินเหมาจ่าย โดยเลือกตามกำลัง ไม่ต้องของแพง 200,000 – 500,000 บาท ก็เอาอยู่สำหรับเคสทั่วไป ไม่ต้องเริ่มสวยด้วยวงเงินล้าน แล้วปีถัดไปจ่ายไม่ไหว
3. “เงินฉุกเฉินต้องมีนะ…เพราะ OPD เรารับเองแทบทั้งหมด”
หลายคนไม่ค่อยซื้อประกัน OPD เพราะ “แพงมาก” ทำให้ทุกครั้งที่เราไม่สบายแบบไม่ต้อง Admit เราต้องควักเองเกือบ 100% เช่น ไข้หวัดใหญ่ ตรวจเลือด ภูมิแพ้ ปวดหลัง หาหมอเช็กอาการเล็ก ๆ น้อย ๆ นี่คือค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น “เป็นประจำ” และหลายคนเสียไปเดือนละหลักพันแบบไม่รู้ตัว
เพราะงั้นเงินฉุกเฉินด้านสุขภาพจึง จำเป็นมาก ๆ พี่ทุยแนะนำให้กันไว้ 3–6 เดือนของรายได้ เพื่อรองรับเคสไม่หนัก แต่เกิดบ่อย และไม่ต้องลุ้นว่าจะเอาเงินตรงไหนมาจ่าย
สุดท้ายนี้พี่ทุยว่า… สุขภาพกำลังจะกลายเป็นของฟุ่มเฟือยจริง ๆ ถ้าเราไม่เริ่มวางแผนตั้งแต่วันนี้
เพราะค่ารักษาพยาบาลพุ่งปีละเกือบ 14% แต่รายได้เราแทบไม่ขยับตาม และถ้ามันยังเป็นแบบนี้ต่อไป…สิทธิพื้นฐานที่ควรเข้าถึงได้ง่าย ๆ อาจค่อย ๆ หลุดมือเราไปในทุกปีโดยไม่รู้ตัวเลยก็ได้นะครับ
#MoneyBuffalo #สนุกง่ายได้ประโยชน์ #ประกัน #ประกันสุขภาพ #ค่ารักษาพยาบาล #โรงพยาบาล #โรงพยาบาลเอกชน #โรงพยาบาลรัฐ
เครดิต : Money Buffalo
https://www.facebook.com/share/p/1Bp5iSAAiN/
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย