Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
“วันละเรื่องสองเรื่อง”
•
ติดตาม
20 ธ.ค. เวลา 02:27 • ธุรกิจ
☕ “เอสเปรสโซ่” หนึ่งคำ แต่คนละโลก?
เมื่อรสนิยมแบบตลาดชนกับมาตรฐานแบบโลก และเหตุใดดราม่าในร้านกาแฟจึงไม่ใช่เรื่องเล็ก?
* เช้าวันหนึ่งในร้านกาแฟเจ้าประจำ เหตุการณ์เล็กๆ ที่ดูเหมือนจะจบในไม่กี่นาที กลับกลายเป็นความอึดอัดของทั้งคนชงและคนดื่ม ลูกค้าสั่ง “เอสเปรสโซ่” หนึ่งแก้ว บาริสต้าชงกาแฟช็อตเข้มข้นตามนิยามสากลอย่างตรงไปตรงมา
* แต่สิ่งที่ได้กลับมาไม่ใช่คำขอบคุณ หากเป็นคำตำหนิว่า “ไม่เรียนรู้ตลาด” พร้อมการอ้างอิงชื่อร้านเชนขนาดใหญ่ที่ทำเอสเปรสโซ่แบบใส่นม หวาน และดื่มง่ายกว่า
* เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในร้านกาแฟทั่วประเทศ บางครั้งจบลงด้วยการเปลี่ยนเมนู บางครั้งจบด้วยความไม่พอใจ และบางครั้งก็จบด้วยการที่ร้านเสียลูกค้าไปหนึ่งคน
* แต่สิ่งที่ไม่ควรถูกมองข้ามคือ นี่ไม่ใช่แค่ดราม่าระหว่างลูกค้ากับผู้ประกอบการ หากแต่เป็นภาพสะท้อนของ ความคลาดเคลื่อนทางวัฒนธรรมการบริโภค ที่ใหญ่กว่านั้นมาก และกำลังเกิดขึ้นในหลายอุตสาหกรรม ไม่ใช่เฉพาะในแก้วกาแฟใบเดียว
====
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่กาแฟ แต่อยู่ที่ “ภาษา” ที่เราใช้ไม่ตรงกัน?
* ในโลกของกาแฟสากล คำว่า Espresso มีความหมายชัดเจนและเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก นั่นคือกาแฟที่สกัดด้วยแรงดันสูง ปริมาณเล็ก เข้มข้น ไม่มีนม ไม่มีความหวาน และทำหน้าที่เป็นฐานตั้งต้นของเมนูอื่นๆ เช่น Latte, Cappuccino หรือ Mocha การเข้าใจคำนี้อย่างถูกต้องคือพื้นฐานของศาสตร์กาแฟทั้งหมด
* แต่ในบริบทของสังคมไทย คำเดียวกันนี้กลับถูกใช้งานอย่างหลากหลาย ตั้งแต่การหมายถึง “กาแฟที่เข้มกว่าเมนูอื่น” ไปจนถึง “กาแฟเย็นใส่นมข้นหวานที่แรงขึ้นเล็กน้อย” หรือแม้แต่การใช้แทนคำว่า “กาแฟดำหวาน” ในชีวิตประจำวัน ความหมายของคำจึงค่อยๆ เลื่อนไหลไปตามการใช้งานจริงในตลาด ในทางสังคมศาสตร์ ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า semantic driftหรือการเลื่อนไหลของความหมายตามบริบททางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ
* การเลื่อนไหลดังกล่าวไม่ใช่เรื่องผิดโดยตัวมันเอง เพราะภาษาเป็นสิ่งมีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงได้เสมอ แต่จะกลายเป็นปัญหาเมื่อผู้พูดและผู้ฟังยึดถือคนละนิยาม เมื่อผู้บริโภคใช้คำหนึ่งด้วยความหมายแบบตลาด ขณะที่ผู้ขายใช้คำเดียวกันด้วยความหมายแบบวิชาชีพ ความขัดแย้งจึงเกิดขึ้นแทบจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ และมักถูกตีความผิดว่าเป็นปัญหาด้านทัศนคติหรือการบริการ
====
เชนกาแฟขนาดใหญ่ กับการสร้าง “พจนานุกรมฉบับตลาดมวลชน”
* ต้องยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า เชนกาแฟขนาดใหญ่ในประเทศไทยมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการทำให้กาแฟกลายเป็นเครื่องดื่มของคนทุกกลุ่ม ทุกวัย และทุกพื้นที่ การเข้าถึงที่ง่าย ราคาไม่ซับซ้อน และรสชาติที่คุ้นเคย คือปัจจัยที่ทำให้ตลาดกาแฟเติบโตอย่างรวดเร็ว
* แต่ในขณะเดียวกัน เพื่อให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคจำนวนมาก เมนูกาแฟจำนวนไม่น้อยก็ถูกปรับให้สอดคล้องกับรสนิยมท้องถิ่นมากกว่ามาตรฐานสากล เมนูอย่าง “เอสเปรสโซ่เย็น” หรือ “เอสเปรสโซ่ใส่นม” กลายเป็นเรื่องปกติในตลาดไทย และถูกทำซ้ำในหลายพันสาขาทั่วประเทศ
* สิ่งนี้ค่อยๆ สร้างความเข้าใจร่วมว่า “เอสเปรสโซ่” คือชื่อเมนูกาแฟเข้มหวานมัน ไม่ใช่วิธีการสกัดกาแฟตามนิยามดั้งเดิม เมื่อผู้เล่นรายใหญ่ที่มีอิทธิพลสูงสุดในตลาดนิยามคำศัพท์เช่นนี้ ความเข้าใจของผู้บริโภคย่อมถูกหล่อหลอมตามไปโดยปริยาย และเมื่อความเข้าใจดังกล่าวถูกนำไปใช้ในร้านกาแฟที่ยึดถือมาตรฐานเชิงงานฝีมือ ความไม่ลงรอยจึงปะทุขึ้นแทบจะทันที
====
ทำไมลูกค้าถึง “โกรธ” แทนที่จะถาม?
* ปฏิกิริยาที่ดูรุนแรงของลูกค้าในสถานการณ์แบบนี้ ไม่ได้เกิดจากความอยากหาเรื่อง หากแต่มาจากกลไกทางจิตวิทยาที่เรียกว่า cognitive dissonance หรือความไม่สอดคล้องทางความคิด
* เมื่อสิ่งที่ผู้บริโภคเชื่อว่า “ถูกต้องมาตลอด” ถูกท้าทายต่อหน้า การยอมรับว่าตนเองเข้าใจผิดอาจสร้างความรู้สึกเสียหน้า หรือรู้สึกว่าตนถูกลดคุณค่าโดยไม่ตั้งใจ ปฏิกิริยาตอบโต้จึงมักแสดงออกในรูปของการอ้างอิงอำนาจจากแบรนด์ใหญ่ หรือการโจมตีร้านว่าไม่เข้าใจตลาด ทั้งที่ในความเป็นจริง สิ่งที่เกิดขึ้นคือการชนกันของความจริงสองชุดที่เติบโตมาคนละระบบ
* ในมุมนี้ ดราม่าเอสเปรสโซ่จึงไม่ใช่เรื่องรสนิยมส่วนบุคคล แต่เป็นเรื่องของอัตตา ความคาดหวัง และความรู้สึกเป็นเจ้าของความหมายของคำคำหนึ่ง ซึ่งผูกพันอยู่กับประสบการณ์การบริโภคในอดีตของผู้คนจำนวนมาก
====
“เมื่อการค้าเติบโตเร็วกว่าความรู้” ช่องว่างของ Taste Literacy
ปรากฏการณ์นี้สะท้อนภาพใหญ่ของสังคมไทยที่เข้าสู่ยุคการบริโภคแบบมวลชน ก่อนที่ความรู้ด้านรสนิยมจะค่อยๆ พัฒนาตามมา เราเรียนรู้การดื่มกาแฟผ่านร้านสวย แก้วใหญ่ โปรโมชั่นแรง และรสหวานมัน ก่อนที่จะเข้าใจวัตถุดิบ กระบวนการ และมาตรฐานสากลที่อยู่เบื้องหลังเครื่องดื่มหนึ่งแก้ว
รูปแบบเดียวกันนี้ยังพบได้ในหลายอุตสาหกรรม และไม่ได้จำกัดอยู่แค่กาแฟเท่านั้น
* มัจฉะ – ผู้บริโภคไทยจำนวนมากคุ้นเคยกับผงชาเขียวแต่งกลิ่น ใส่นม ใส่น้ำตาล มากกว่าการรับรู้มัจฉะในฐานะผงชาที่ผ่านพิธีการชง มีระดับคุณภาพ มีอุณหภูมิน้ำ และมีรสชาติที่ละเอียดอ่อน
* ครัวซองต์ – ภาพจำของครัวซองต์ในตลาดมวลชนคือขนมปังนุ่ม หอมเนย กินง่าย ขณะที่ในเชิงเทคนิค ครัวซองต์คือแป้งเลเยอร์ที่ต้องกรอบร่วนด้านนอกและซ้อนชั้นด้านในอย่างแม่นยำ
* สเต๊ก – คำว่า Medium Rare ยังคงเป็นประเด็นถกเถียงในร้านอาหารทั่วไป ระหว่างมาตรฐานสากลกับความคาดหวังของผู้บริโภคที่มองว่าเนื้อควร “สุกกว่านี้อีกนิด” เพื่อความสบายใจ
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความผิดของผู้บริโภค แต่เป็นผลลัพธ์ของตลาดที่เติบโตเร็วกว่าความรู้ และทำให้ taste literacy ไม่ได้ถูกพัฒนาไปพร้อมกับการขยายตัวของธุรกิจ
====
บทเรียนจากญี่ปุ่นและออสเตรเลีย
* หากมองไปยังประเทศที่มีวัฒนธรรมกาแฟและอาหารแข็งแรง เช่น ญี่ปุ่นหรือออสเตรเลีย จะพบว่าปัญหาเช่นนี้เกิดขึ้นน้อยกว่ามาก ไม่ใช่เพราะผู้บริโภคเก่งกว่าโดยกำเนิด แต่เพราะระบบนิเวศของตลาดช่วยกัน “จัดการความหมาย” อย่างมีวินัยและต่อเนื่อง
* ทั้งสองประเทศเลือกใช้แนวทางเดียวกัน คือรักษาคำศัพท์สากลอย่างชัดเจน ขณะเดียวกันก็สร้างเมนูท้องถิ่นที่ตั้งชื่อใหม่ ไม่ใช้คำเดิมไปเรียกสิ่งที่อยู่นอกนิยาม บาริสต้าถูกฝึกให้ถามถึงรสนิยมและวัตถุประสงค์ของการบริโภค มากกว่ายึดติดกับชื่อเมนู และผู้บริโภคเองก็คุ้นเคยกับการอธิบายสิ่งที่ต้องการมากกว่าการยึดคำศัพท์เพียงอย่างเดียว
* บทเรียนสำคัญคือ วัฒนธรรมการบริโภคไม่ได้เกิดจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เกิดจากความร่วมมือระหว่างตลาด ผู้ประกอบการ และการสื่อสารที่ต่อเนื่องในระยะยาว
====
“วัฒนธรรมผู้บริโภคไทย” เมื่อความเคยชินแบบ Mass Market กลายเป็นบรรทัดฐาน
* เอสเปรสโซ่ไม่ใช่แก้วแรกที่คนไทยคุยกันไม่รู้เรื่อง และก็น่าจะไม่ใช่แก้วสุดท้าย หากมองให้ลึกลงไป ดราม่านี้สะท้อนโครงสร้างวัฒนธรรมผู้บริโภคไทยที่เติบโตมากับตลาดมวลชนเป็นหลัก ผู้บริโภคจำนวนมากคุ้นชินกับระบบที่ตลาดเป็นฝ่ายทำให้ทุกอย่าง “เข้าใจง่าย” มากกว่าชวนให้เรียนรู้ตามความเป็นจริง
* สินค้าและบริการจึงถูกออกแบบให้ตอบสนองความเคยชิน มากกว่าการพัฒนารสนิยมอย่างค่อยเป็นค่อยไป และเมื่อผู้บริโภคเผชิญกับแบรนด์หรือร้านที่ยึดถือมาตรฐานเชิงวิชาชีพหรือเชิง craft ความรู้สึกแรกจึงมักไม่ใช่ความอยากเรียนรู้ แต่เป็นความรู้สึกว่า “สิ่งนี้ไม่เป็นมิตรกับฉัน” นี่คือแรงเสียดทานของช่วงเปลี่ยนผ่านจากการบริโภคเพื่อความง่าย ไปสู่การบริโภคเพื่อคุณค่า
====
ทางออกไม่ใช่การเอาชนะ แต่คือการ “จูนคลื่น” ระหว่างกัน
* บทเรียนจากดราม่าเอสเปรสโซ่ไม่ได้บอกให้ร้านกาแฟต้องยอมตามทุกความต้องการของลูกค้า และไม่ได้บอกให้ลูกค้าต้องรู้ศัพท์สากลทั้งหมด หากแต่ชี้ให้เห็นความจำเป็นของการสื่อสารที่เข้าใจบริบทและความคาดหวังของอีกฝ่ายหนึ่ง
* สำหรับผู้ประกอบการ การยึดมั่นในมาตรฐานเป็นเรื่องสำคัญ แต่การเข้าใจผู้บริโภคสำคัญกว่า การตั้งคำถามง่ายๆ เพื่อทำความเข้าใจรสนิยมที่แท้จริง เช่น ต้องการเข้มล้วน หรือเข้มใส่นมหวาน อาจช่วยลดความขัดแย้งได้มากกว่าการอธิบายเชิงวิชาการยืดยาว
* ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคเองก็อาจได้ประโยชน์จากการเปิดใจเรียนรู้ว่า สิ่งที่คุ้นเคยในตลาดมวลชน กับมาตรฐานของโลก อาจไม่ใช่เรื่องเดียวกันเสมอ การถามให้ชัดก่อนสั่ง อาจทำให้ประสบการณ์ในแก้วกาแฟดีขึ้นโดยไม่ต้องมีใครแพ้หรือชนะ
* ท้ายที่สุด กาแฟหนึ่งแก้วจึงไม่ใช่แค่เครื่องดื่ม แต่เป็นบทเรียนเล็กๆ ว่า ความสำเร็จในโลกจริงไม่ได้อยู่ที่การชนะด้วยความถูกต้อง แต่อยู่ที่การออกแบบความเข้าใจร่วมให้เดินไปด้วยกันได้ และบางครั้ง การจูนความหมายเพียงเล็กน้อย อาจสร้างความรื่นรมย์ให้ทั้งคนชง คนดื่ม และทั้งระบบมากขึ้นในเช้าวันธรรมดาๆ
”บางครั้ง ปัญหาไม่ได้อยู่ที่รสชาติไม่ถูกใจ แต่อยู่ที่เราไม่เคยคุยกันให้เข้าใจตั้งแต่ต้น”
#วันละเรื่องสองเรื่อง #CoffeeCulture #ConsumerBehavior #TasteLiteracy #ThaiContext #BusinessAndSociety
กาแฟ
ร้านกาแฟ
บันทึก
2
1
2
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย