24 ธ.ค. เวลา 04:17

⚠️ เก็บภาษีไม่ช่วยอะไร เจาะลึกเบื้องหลังเส้นทางทองคำ

ปริศนาหมื่นล้าน ผ่านชายแดนไทย-กัมพูชา สู่ปลายทางที่เวียดนาม
หากเราจะเริ่มแกะรอยปริศนานี้อย่างเป็นระบบ เราต้องเริ่มต้นที่ "ความผิดปกติทางสถิติ" ที่ชัดเจนจนไม่อาจมองข้ามได้ค่ะ จากรายงานสถานการณ์การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของ สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ GIT ร่วมกับข้อมูลจาก กรมศุลกากร ภายใต้พิกัดภาษี HS Code 7108 (ทองคำที่ยังไม่ได้ขึ้นรูป หรือทองคำแท่ง)
พบข้อมูลที่น่าตระหนกว่า กัมพูชาได้กลายเป็นคู่ค้าลำดับต้นๆ ของไทยในการส่งออกทองคำ โดยในบางปีงบประมาณ มูลค่าการส่งออกพุ่งทะยานสูงถึงหลักหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเมื่อเรานำตัวเลขนี้มาเปรียบเทียบเชิงโครงสร้างกับข้อมูลจาก ธนาคารโลก (World Bank) ที่ระบุว่า ขนาดเศรษฐกิจ (GDP) ของกัมพูชานั้นอยู่ที่ระดับประมาณ 30,000 - 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีรายได้ต่อหัวประชากร (GNI per capita) อยู่ในระดับปานกลางค่อนข้างต่ำ
มันจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ในทางทฤษฎีบริโภคที่ประเทศขนาดเศรษฐกิจเท่านี้จะมีกำลังซื้อจริง (Real Demand) ในการนำเข้าทองคำเพื่อการสะสมหรือทำเครื่องประดับในสัดส่วนที่สูงเกือบเท่าขนาดเศรษฐกิจของประเทศตนเอง สิ่งนี้เป็น "Red Flag" แรกที่บ่งชี้ว่า กัมพูชาคือ "Hub" หรือทางผ่าน ไม่ใช่ผู้ซื้อตัวจริง
เมื่อเราสืบสาวไปถึงต้นตอของแรงดึงดูดมหาศาลนี้ หลักฐานทั้งหมดชี้เป้าไปที่ "เวียดนาม" และความล้มเหลวของกลไกตลาดที่เกิดจากการแทรกแซงของรัฐบาลค่ะ
เราต้องเจาะลึกไปที่เอกสารกฎหมายฉบับสำคัญที่สุด นั่นคือ Decree 24/2012/ND-CP หรือกฤษฎีกาฉบับที่ 24 ว่าด้วยการจัดการกิจกรรมธุรกิจทองคำ ซึ่งรัฐบาลเวียดนามประกาศใช้เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อและความผันผวนของค่าเงินดอง
โดยสาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้คือการมอบอำนาจให้รัฐผูกขาดการผลิตทองคำแท่งแต่เพียงผู้เดียว และกำหนดให้ทองคำแบรนด์ SJC (Saigon Jewelry Company) เป็นแบรนด์แห่งชาติเพียงแบรนด์เดียวที่ถูกต้องตามกฎหมายในการซื้อขายแลกเปลี่ยน
ผลกระทบจากการผูกขาดนี้รุนแรงกว่าที่คาดคิดค่ะ ข้อมูลจากสำนักข่าว Reuters และ Vietnam Investment Review ได้รายงานสถานการณ์ราคาทองคำในเวียดนามอย่างต่อเนื่อง โดยพบปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "Price Decoupling" หรือการที่ราคาทองในประเทศตัดขาดจากราคาตลาดโลกอย่างสิ้นเชิง
ในช่วงวิกฤตความต้องการทองคำ ราคาทองคำแท่ง SJC ในเวียดนามเคยพุ่งสูงกว่าราคาทองคำโลก (World Spot Price) ถึง 18 - 20 ล้านดองเวียดนามต่อตำลึง (Tael) หรือประมาณ 24,000 - 30,000 บาทต่อบาททองคำ ซึ่งถือเป็นส่วนต่างราคา (Premium) ที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลกในยุคปัจจุบัน
ส่วนต่างราคานี้เปรียบเสมือน "กำไรที่การันตีแล้ว" (Risk-free Profit) สำหรับใครก็ตามที่สามารถนำทองคำราคาตลาดโลกจากไทย ข้ามพรมแดนเข้าไปขายในเวียดนามได้ นี่จึงเป็นที่มาของบทบาทกัมพูชาในฐานะ "Logistics Buffer" ค่ะ
จากรายงานการวิเคราะห์ของ Dezan Shira & Associates เกี่ยวกับการค้าชายแดนในอาเซียน ระบุว่าโครงสร้างภาษีและการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตราของกัมพูชานั้นมีความยืดหยุ่นสูงที่สุดในภูมิภาค (Liberalized Regime) ประกอบกับสภาพภูมิศาสตร์ที่มีพรมแดนทางบกติดต่อกับเวียดนามเป็นระยะทางยาวกว่า 1,200 กิโลเมตร
ตั้งแต่จังหวัดกอนตุมลงมาจนถึงเกียนซาง ซึ่งเต็มไปด้วย "ช่องทางธรรมชาติ" ที่ยากต่อการลาดตระเวนของเจ้าหน้าที่ศุลกากรเวียดนาม ทำให้ขบวนการลักลอบขนสินค้า (Smuggling Syndicates) เลือกใช้เส้นทาง ไทย -> สระแก้ว/ตราด -> กัมพูชา -> เวียดนาม เป็นเส้นทางหลักในการขนถ่ายทองคำเพื่อกินส่วนต่างราคามหาศาลนั้น
แต่เรื่องราวไม่ได้จบแค่เรื่องกำไรส่วนต่างค่ะ เพราะยังมีมิติที่ดำมืดกว่านั้นซ่อนอยู่ นั่นคือเรื่องของ "อาชญากรรมทางการเงิน" ข้อมูลจากรายงานของ สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ในหัวข้อ "Transnational Organized Crime in Southeast Asia: Evolution, Growth and Impact"
ระบุชัดเจนว่า คาสิโนและเขตเศรษฐกิจพิเศษในกัมพูชา โดยเฉพาะในย่านสีหนุวิลล์และปอยเปต ได้กลายเป็นศูนย์กลางการฟอกเงิน (Money Laundering Hub) ที่สำคัญของแก๊งอาชญากรรมไซเบอร์และการพนันออนไลน์ ซึ่งมีเงินหมุนเวียนนอกระบบธนาคารสูงถึงหลายแสนล้านบาทต่อปี
👉🏻 ทำไมต้องเป็นทองคำ? คำตอบอยู่ในรายงานของ Financial Action Task Force (FATF) องค์กรระดับโลกด้านการต่อต้านการฟอกเงิน ที่ระบุถึงคุณสมบัติพิเศษของทองคำในฐานะ "Bearer Instrument" หรือตราสารผู้ถือ กล่าวคือ ผู้ใดถือครองทองคำ ผู้นั้นคือเจ้าของ โดยไม่มีชื่อระบุบนแท่งทองเหมือนโฉนดที่ดินหรือบัญชีธนาคาร
กลุ่มธุรกิจสีเทาจึงใช้เงินสดสกุลดอลลาร์หรือเงินบาทที่ได้จากการทำธุรกิจผิดกฎหมาย มา "กว้านซื้อ" ทองคำแท่งจากประเทศไทยผ่านนายหน้าในกัมพูชา เพื่อเปลี่ยนสภาพเงินสกปรกให้กลายเป็นสินทรัพย์สากลที่สามารถพกพาข้ามแดนและเปลี่ยนกลับเป็นเงินสะอาดได้ในทุกมุมโลก กระบวนการนี้เรียกว่า Trade-Based Money Laundering (TBML) ซึ่งเป็นการฟอกเงินโดยอาศัยฉากหน้าของการค้าระหว่างประเทศที่ดูเหมือนถูกต้องตามกฎหมาย
ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยค่ะ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ระบุไว้ในรายงานนโยบายการเงินหลายฉบับว่า พฤติกรรมการส่งออกทองคำเพื่อเก็งกำไรนี้สร้างความปั่นป่วนให้กับเสถียรภาพของค่าเงินบาทอย่างมีนัยสำคัญ
เมื่อมีการส่งออกทองคำมูลค่ามหาศาล ผู้ส่งออกจะได้รับเงินดอลลาร์กลับมาและเทขายเพื่อแลกเป็นเงินบาท ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว (Baht Appreciation) แบบฉับพลัน ซึ่งไม่ได้สะท้อนถึงผลิตภาพที่แท้จริงของภาคอุตสาหกรรม (Real Sector Productivity) ทำให้ผู้ส่งออกสินค้าเกษตรอย่างข้าว ยางพารา หรืออิเล็กทรอนิกส์ ต้องแบกรับภาระขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกรรมทองคำเลยแม้แต่น้อย
🔥 การเก็บภาษีทองคำจะเป็น "ทางออก" หรือ "ทางตัน"?
เมื่อเห็นปัญหาค่าเงินบาทผันผวนจากการค้าทองคำ คำถามที่มักถูกหยิบยกขึ้นมาในวงการนโยบายการคลังคือ "รัฐบาลไทยควรเก็บภาษีการค้าทองคำเพื่อสกัดกั้นปัญหานี้หรือไม่" ซึ่งหากวิเคราะห์ตามหลักเศรษฐศาสตร์มหภาคและพฤติกรรมศาสตร์แล้ว คำตอบมีแนวโน้มไปในทิศทางว่า "นโยบายนี้อาจไม่ได้ผล และอาจสร้างความเสียหายมากกว่าผลดี" ด้วยเหตุผลสำคัญดังนี้ค่ะ
ประการแรก เราต้องเข้าใจกลไก "The Balloon Effect" หรือกฎลูกโป่งในทางเศรษฐศาสตร์สีเทาค่ะ
การที่รัฐบาลไทยจะเก็บภาษี (ไม่ว่าจะเป็นภาษีมูลค่าเพิ่มหรือภาษีธุรกิจเฉพาะ) เพื่อหวังจะหยุดยั้งการส่งออกทองคำนั้น เป็นการแก้ที่ "ต้นทุน" ฝั่งไทยเพียงเล็กน้อย แต่ไม่ได้แก้ที่ "แรงจูงใจ" ฝั่งเวียดนาม
ตราบใดที่ส่วนต่างราคาระหว่างเวียดนามกับตลาดโลกยังสูงถึง 20,000 - 30,000 บาทต่อบาททองคำ การเก็บภาษีเพิ่มเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ในฝั่งไทยจะไม่สามารถหยุดยั้งความต้องการนี้ได้
สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ ธุรกรรมจะมุดลงใต้ดินทันที พ่อค้าจะเลิกส่งออกผ่านระบบศุลกากร (ซึ่งทำให้รัฐตรวจสอบไม่ได้เลย) และหันไปใช้วิธีลักลอบขนทองข้ามชายแดนไทย-กัมพูชาผ่านช่องทางธรรมชาติแทน ซึ่งจะทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจบิดเบือนยิ่งกว่าเดิม และรัฐบาลจะสูญเสียข้อมูล Big Data ในการติดตามเส้นทางการเงินไปอย่างสิ้นเชิง
ประการที่สอง คือความเสี่ยงในการสูญเสียสถานะ "Regional Gold Hub" ค่ะ
ปัจจุบันไทยเป็นศูนย์กลางการค้าทองคำของอาเซียนเพราะนโยบายการค้าเสรี (Free Trade Policy) หากไทยเริ่มเก็บภาษี ในขณะที่สิงคโปร์หรือฮ่องกงยังคงเปิดเสรี (Tax-Free) ผู้ค้าทองคำรายใหญ่และบริษัทข้ามชาติจะย้ายฐานการทำธุรกรรมไปยังสิงคโปร์ทันที
สิ่งนี้จะทำให้ไทยสูญเสียเม็ดเงินลงทุนและการจ้างงานในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง โดยที่ปัญหาส่วนต่างราคาในเวียดนามก็ยังคงอยู่ และพ่อค้าเวียดนามก็เพียงแค่เปลี่ยนไปสั่งทองจากสิงคโปร์บินเข้าพนมเปญแทน โดยข้ามประเทศไทยไปเลย
ประการสุดท้าย เรามีบทเรียนทางประวัติศาสตร์ที่ชัดเจนจาก ประเทศอินเดีย ค่ะ อินเดียเคยพยายามแก้ปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าทองคำสูงถึง 10-15% ผลลัพธ์ที่ได้คือ "ความล้มเหลวเชิงนโยบาย"
เพราะมันทำให้เกิดขบวนการลักลอบนำเข้าทองคำ (Gold Smuggling) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก รัฐบาลอินเดียเก็บภาษีได้น้อยลงกว่าเดิม แต่ต้องเสียงบประมาณมหาศาลในการปราบปรามมาเฟียค้าทองเถื่อนที่เติบโตขึ้นมาแทนที่พ่อค้าสุจริต
✅ ดังนั้น บทสรุปคือ การเก็บภาษีทองคำของไทยเพื่อแก้ปัญหาการส่งออกไปกัมพูชา เปรียบเสมือนการ "ขี่ช้างจับตั๊กแตน" ที่อาจได้ไม่คุ้มเสีย วิธีการแก้ปัญหาที่ตรงจุดที่สุดคือการรอให้รัฐบาลเวียดนามแก้ไขกฎหมาย Decree 24 เพื่อลดส่วนต่างราคา
หรือการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยใช้มาตรการกำกับดูแลผู้ค้าทองคำในการบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยน (FX Regulation) อย่างเข้มงวด แทนการใช้มาตรการทางภาษีที่จะไปทำลายกลไกตลาดเสรีค่ะ
โดย : Beauty Investor
โฆษณา