24 ธ.ค. เวลา 10:16 • ความคิดเห็น
ก่อนตอบคำถามนี้ ผมขอ @ ถึงคุณ supasit และ คุณ Chen Eing ว่าคิดยังไงกับบทความของผม ผมเขียนถูกไหม เป็นความจริงในสังคมหรือเปล่า แล้วคุณจะทำอย่างไรกับความจริงตรงนี้
แปลกไหมครับ ประเทศไทยมองความดีเป็นตัวปัญหา คนซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา กลายเป็นตัวถ่วง
แต่คนขี้โกง เล่นเหลี่ยม เอาเปรียบ
กลับถูกยกย่องว่าฉลาด
เราด่าพรรคการเมืองที่พยายามเดินตรง ว่าไม่มีผลงาน ทั้งที่เราก็รู้เต็มอกว่าพวกเขาถูกระบบบีบคั้น ถูกสกัด ถูกขวางทุกทาง ตั้งแต่วันแรกที่ยังไม่ทันได้ทำอะไรจริงๆด้วยซ้ำ ถูกตัดงบ ถูกศาล ถูกองค์กรอิสระ ถูกกติกาที่ออกแบบมาเพื่อไม่ให้เขามีที่ยืน แล้วพอเขาขยับไม่ได้ เราก็ย้อนกลับไปด่าเขาอีกว่าเห็นไหม ไม่มีผลงาน
ในขณะเดียวกัน พรรคการเมืองสีเทา เอื้อสแกมเมอร์ ปล่อยให้ทุนเทาไหลเข้าประเทศ ถ่ายรูปคู่กับตัวละครต่างชาติ เบน สมิธ มีข่าวพัวพันกับเครือข่ายหลอกลวงหลายกรณี เรากลับเชียร์อย่างออกหน้าออกตา บอกว่าเขาเก่ง เขามีผลงาน เขาทำเป็น
นี่มันไม่ใช่ความย้อนแย้งธรรมดา แต่มันคือประเทศที่กลับหัวหางทั้งระบบ คอรัปชันในไทยฝังลึกจนกลายเป็นเรื่องปกติ แม้แต่สำนักงานตรวจสอบแผ่นดินที่ควรเป็นเสาหลักของความโปร่งใส ยังถล่มลงมาต่อหน้าต่อตา ทั้งในความหมายจริงๆ และในเชิงสัญลักษณ์
แต่แทนที่เราจะตั้งคำถามกับโครงสร้าง เรากลับเลือกจะกลบเกลื่อน หัวเราะ เย้ยหยัน แล้วเดินหน้าต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
คำถามคือ คนที่ชื่นชมความโกงแบบนี้ เขาคิดยังไง
เขาใช้เหตุผลอะไรรองรับการด่าความดี และเชียร์ความชั่ว
คำตอบที่เจ็บปวดคือ เพราะในสังคมแบบนี้ ความดีมันไม่รอด คนจำนวนมากไม่ได้เชียร์คนโกงเพราะไม่รู้ว่ามันผิด แต่เพราะเขาเชื่อว่าถ้าไม่โกง ก็อยู่ไม่ได้ ถ้าไม่เล่นเหลี่ยม ก็แพ้ ถ้าไม่เอาเปรียบ ก็ถูกเหยียบ
ดังนั้น เมื่อเห็นใครโกงแล้วรอด เขาจะไม่รู้สึกโกรธ แต่จะรู้สึกอิจฉา เมื่อเห็นใครซื่อสัตย์แล้วล้ม เขาจะไม่รู้สึกสงสาร แต่จะรู้สึกสมเพช
นี่แหละคือเหตุผลว่าทำไมความดีถึงถูกด่า
เพราะมันเป็นเครื่องเตือนใจว่า เราเองต่างหากที่ยอมจำนนกับระบบ และแทนที่จะลุกขึ้นเปลี่ยนมัน เรากลับเลือกจะหัวเราะให้กับความชั่ว แล้วปลอบตัวเองว่าโลกมันก็เป็นแบบนี้
ประเทศที่เชิดชูความโกง ไม่ได้พังเพราะคนเลวอย่างเดียว แต่มันพังเพราะคนจำนวนมาก ตัดสินใจเข้าข้างความเลว แล้วเรียกมันว่าความฉลาด
โฆษณา