26 ธ.ค. เวลา 01:05 • ธุรกิจ

ผู้นำไม่จำเป็นต้องเก่งที่สุด แต่ต้องพาทีมรอดไปด้วยกัน

ถอด 5 บทเรียนการทำงานผ่านเรื่องราวของซีรีส์ ‘Stranger Things’
"You don't have to be brave all the time, you just have to be brave when it matters." คุณไม่จำเป็นต้องกล้าหาญตลอดเวลา แค่กล้าหาญเมื่อมันสำคัญก็พอ
ไหนใครรอดู Stranger Things ซีซัน 5 พาร์ท 2 อยู่บ้าง? สำหรับแฟน ๆ ที่ชอบซีรีส์แนวสยองขวัญ-แฟนตาซี-ไซไฟ คงไม่มีใครไม่รู้จัก ‘Stranger Things’ ซีรีส์น่าตื่นตาที่เริ่มต้นจากการตามหา Will Byers และ Barbara Holland ที่หายตัวไป จากนั้นตัวซีรีส์ก็ค่อย ๆ ไต่ระดับพาเราเข้าไปสำรวจในโลก Upside Down ที่ไม่มีใครคาดเดาได้ จนกลายเป็นซีรีส์เรือธงของ Netflix ที่ใคร ๆ ก็ต้องเคยดู
แต่ทีเด็ดซีรีส์เรื่องนี้ ไม่ได้มีแค่ความสนุก หรือความตื่นเต้น เพราะตัวเรื่องยังซ่อนบทเรียนของการเป็นผู้นำไว้มากมาย เช่น การร่วมด้วยช่วยกันเพื่อเอาชีวิตรอดจากโลก Upside Down, การทำงานเป็นทีม รวมถึงความไว้ใจกันและกัน ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญมากในการทำงานของโลกจริง ดังนั้นในบทความนี้เราจะพามาถอดบทเรียนการเป็นผู้นำ ผ่านซีรีส์ ‘Stranger Things’ ที่เมื่อคุณอ่านบทความนี้จบแล้ว ครั้งต่อไปที่ได้ย้อนกลับไปดูซีรีส์เรื่องนี้ ความรู้สึกของคุณอาจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
5 บทเรียนจาก ‘Stranger Things’ ที่ใช้ได้จริงในโลกปัจจุบัน
(บทความอาจมีการพูดถึงเนื้อหาในซีรีส์ ใครกลัวจะมีจุดสปอย ไว้ดูจบแล้วค่อยกลับมาอ่านได้นะ 😀)
📌 1. อย่านำทีมแบบสูตรสำเร็จ เพราะทุกคนมี ‘จุดเด่น’ ที่ไม่เหมือนกัน
อย่างจุดเด่นของซีรีส์ Stranger Things ที่ทำให้แตกต่างจากซีรีส์อื่น ๆ นอกจากเนื้อเรื่องแล้ว สิ่งสำคัญคือคาแรคเตอร์ตัวละครที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัว เช่น
Mike Wheeler ➡️ เป็นคนที่มีความเป็นผู้นำ
Lucas Sinclair ➡️ เป็นคนที่มีเหตุผล มองตามหลักความเป็นจริง
Dustin Henderson ➡️ เป็นคนที่ฉลาดในการแก้ปัญหา
Will Byers ➡️ เป็นคนที่มีพลังการรับรู้ และการเชื่อมโยง
Eleven (Jane Hopper) ➡️ เป็นคนที่มีพลังพิเศษ
Max Mayfield ➡️ เป็นคนที่พูดตรง ช่วยเตือนสติเพื่อน
ซึ่งจะเห็นได้ว่าตัวละครในซีรีส์มีความสามารถเฉพาะตัวที่โดดเด่น แต่ทุกตัวละครยังต้องพึ่งพากันและกันเพื่อเอาชนะสัตว์ประหลาดอย่าง Mind Flayer, Demogorgon รวมถึง Vecna
สะท้อนให้เห็นว่านี่เป็นหนึ่งในบทเรียนที่ผู้นำอาจนำมาเรียนรู้และปรับใช้ เพราะผู้นำไม่ควรนำทีมในแบบเดียวกันทั้งหมด แต่ควรจะรู้ ‘จุดเด่น’ ของแต่ละคน แล้วจัดการการทำงานให้ถูกที่ถูกทาง เพื่อให้ทีมได้มีความคิดที่หลากหลาย, มีความยืดหยุ่นขึ้น และรับมือโจทย์ซับซ้อนได้ดีขึ้น
เช่น ในโปรเจกต์เปิดตัวแคมเปญใหม่ ผู้นำอาจจัดการแบ่งงานตามสิ่งที่ถนัด โดยการให้คนที่ถนัดวางแผนดูแลภาพรวมกับเรื่องไทม์ไลน์, คนที่สื่อสารเก่งรับหน้าที่ประสานงานกับลูกค้าและทีมอื่น ๆ, คนที่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ให้ดูแลอุปสรรคหน้างาน การแบ่งงานให้เหมาะสมจะช่วยให้แต่ละคนได้ใช้จุดเด่นของตัวเองเต็มที่ และทำให้โปรเจกต์เดินหน้าได้มากยิ่งขึ้น
📌 2. ไม่มีผู้นำคนไหนพาทีมไปถึงเส้นชัยได้ ถ้าไม่ ‘มอบหมายงาน’ ให้ทีมได้ลงสนาม
อย่างที่ทุกคนรู้ว่าซีรีส์ Stranger Things เป็นแนวสยองขวัญ-แฟนตาซี-ไซไฟ ซึ่งในเรื่องก็จะมีการเอาตัวรอดอยู่หลาย ๆ ครั้ง นั่นคือบทเรียนที่ 2 ที่ซีรีส์บอกเรา คือ ‘การไว้ใจเพื่อน’ เช่น ตอนที่เพื่อน ๆ โดนรถตู้ดักหน้า Mike Wheeler ก็เชื่อมั่นว่า Eleven จะสามารถช่วยสถานการณ์นี้ได้ จึงปั่นจักรยานต่อไป ซึ่งทำให้ Eleven มีความมั่นใจ และใช้พลังจิตควบคุมรถตู้ได้ในที่สุด
สะท้อนให้เห็นว่าในฐานะของผู้นำ ไม่ได้แปลว่าเราต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่ต้องไว้ใจ และส่งไม้ต่อให้คนในทีมช่วย และเปิดพื้นที่ให้ทีมได้รับผิดชอบ, ตัดสินใจ และนำในแบบของตัวเอง เพื่อให้ทีมมีแรงจูงใจในการรับผิดชอบต่องานที่ทำ และมีความมุ่งมั่นต่อหน้าที่มากขึ้น
นอกจากนี้ความไว้วางใจระหว่างผู้นำและทีม ยังช่วยเสริมความสัมพันธ์ในเชิงบวก ทั้งการสื่อสาร, การแลกเปลี่ยนแนวคิด รวมถึงการขับเคลื่อนนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ในทีมอีกด้วย
เช่น ผู้นำลองเปิดโอกาสให้ทีมทำเองโดยไม่ micromanagement แต่ให้ทีมได้มีโอกาสได้ลอง ได้พลาด และได้เติบโตด้วยตัวเอง เพื่อให้ทีมมีความรับผิดชอบ และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานมากยิ่งขึ้น
📌 3. เป็นผู้นำที่อยู่รอดในทุกที่ เพราะมีความกล้าที่จะ ‘ปรับตัว’
สำหรับซีรีส์ Stranger Things ซีซัน 2 ก็จะเห็นหลาย ๆ ฉากที่แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวของตัวละคร เช่น ตอนที่ Will Byers กลับมาจากโลก Upside Down ก็ต้องปรับตัวให้ชินกับการถูกล้อว่าเป็นเด็กซอมบี้ เนื่องจากรัฐบาลที่สร้างข่าวปลอมว่าตายไปแล้ว
3
สะท้อนให้เห็นว่าในยุคที่เศรษฐกิจหรือเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อย ๆ ผู้นำที่จะช่วยให้ทีมประสบความสำเร็จได้ในวันนี้ต้องเข้าใจว่าการปรับตัวต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ใช่เรื่องตัวเลือก แต่เป็นสิ่งที่ต้องทำ
บทความจาก Forbes ได้แนะนำแนวทางของการปรับตัวอยู่ 4 ข้อ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Mohamed Fawzi ผู้ก่อตั้ง Blooms Group ดังนี้
🔹 1. ยอมรับว่าตัวเองยังเรียนรู้ได้อีก การเป็นผู้นำที่จะปรับตัวได้ ต้องมีความอยากรู้อยากเห็นในสิ่งต่าง ๆ และยอมรับว่าเรายังสามารถเรียนรู้เรื่องราวได้อีกมากมาย ถ้าหากไม่ปิดกั้น เช่น เวลาเจอเครื่องมือ หรือวิธีทำงานใหม่ แทนที่จะคิดว่าไม่จำเป็น สิ่งที่ใช้อยู่ก็เพียงพอแล้ว เป็นการลองใช้เครื่องมือนั้นก่อน แล้วค่อยตัดสินใจทีหลังว่าสิ่งนั้นจำเป็นหรือไม่จำเป็น ดีกว่าการปิดกั้นการเรียนรู้ไปก่อน
🔹 2. เลือกปรับตัวตามสิ่งที่สำคัญ ถึงการปรับตัวได้ทุกเรื่องจะเป็นเรื่องที่ดี แต่สำหรับผู้นำหลายคนอาจไม่มีเวลาในการปรับตัวในทุก ๆ เรื่อง ดังนั้นสิ่งสำคัญอีกอย่างที่จะช่วยให้ปรับตัวได้เหมาะสม และสอดคล้องกับเป้าหมายต้องอาศัยการจัดลำดับปรับตัวตามความสำคัญที่ต้องทำก่อน เช่น ถ้าทีมเริ่มหมดไฟ ในขณะเดียวกันองค์กรก็กำลังจะเอาเครื่องมือ AI ใหม่เข้ามา ผู้นำอาจต้องรีบดูแลทีมให้กลับมาพร้อมก่อน เพราะสุดท้าย หากมีเทคโนโลยีอย่างเดียว แต่ถ้าคนไม่พร้อมใช้ ต่อให้เครื่องมือดีแค่ไหนก็ไม่สามารถไปถึงเป้าหมายได้
🔹 3. เปิดพื้นที่ให้นวัตกรรมใหม่ ๆ ในองค์กร ทรัพยากรที่สำคัญของทุกองค์กรคือ ‘คนทำงาน’ เพราะฉะนั้นผู้นำต้องเปิดโอกาสให้คนในทีมได้มีพื้นที่ในการคิด เติบโต ด้วยการสร้าง ‘ความรู้สึกปลอดภัย’ เพื่อให้ทีมรู้สึกสบายใจในการแบ่งปันความคิดเห็นที่โดดเด่นโดยไม่กลัวความล้มเหลว เช่น หากทีมต้องการทำงานแนวคลิปโดยเปลี่ยนรูปแบบ ผู้นำอาจเปิดพื้นที่ให้ทีมเสนอไอเดียโดยไม่รีบตัดสิน และเลือกทดลองแบบในสเกลเล็ก ๆ ก่อน เพื่อให้ทีมรู้สึกปลอดภัย กล้าคิดและกล้าลองสิ่งใหม่มากขึ้น
🔹 4. สร้างแรงบันดาลใจในการปรับตัว ถ้าอยากให้ทีมปรับตัวได้เร็วและอยู่รอด สิ่งสำคัญคือผู้นำต้องทำเป็นแบบอย่าง และหัวใจสำคัญคือ ‘ความสม่ำเสมอ’ ไม่งั้นแรงบันดาลใจก็จะไม่ต่อเนื่อง และขาดตอนเพราะฉะนั้นต้องสร้างแรงบันดาลใจในการปรับตัวอยู่ตลอดเมื่อมีสิ่งใหม่ ๆ เข้ามา เช่น เมื่อมีเทคโนโลยีใหม่เข้ามา ผู้นำลองใช้งานก่อน แล้วแชร์ขั้นตอนสั้น ๆ ให้ทีมต่อ จากนั้นก็ค่อย ๆ ชวนให้ทีมใช้อย่างต่อเนื่อง ในการทำงานบางชิ้น
📌 4. ‘เข้าใจ’ ในความรู้สึก มากกว่า ‘ต้องการให้เป็น’
ถึงแม้เนื้อเรื่องของ Stranger Things จะเต็มไปด้วยความลุ้นระทึก ตื่นเต้น น่ากลัวแต่ภายในตัวเรื่องยังสอดแทรกความ ‘เห็นอกเห็นใจ’ อยู่ในทุก ๆ ช่วงของเรื่อง เช่น ตอนที่ Kali Prasad (Number Eight) พา Eleven ไปฆ่าคนที่เคยทำร้ายตัวเอง ตอนนั้นเอง Eleven ได้เห็นภาพครอบครัวของคน ๆ นั้นจึงเลือกที่จะไม่ฆ่า เพราะไม่อยากให้เหมือนเรื่องราวที่เคยเกิดกับตัวเอง
บทความจาก Harvard Business Impact ชี้ว่า ความเห็นอกเห็นใจเป็นองค์ประกอบสำคัญ ในที่ทำงานยุคใหม่ เพราะช่วยสร้างบรรยากาศการทำงานที่มีความไว้วางใจและสนับสนุนสุขภาพจิตของทีม โดยมี 78% ของผู้นำระดับสูงยอมรับว่าการแสดงความเห็นอกเห็นใจเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งยิ่งตอกย้ำให้ผู้นำไม่ควรละเลย
3
และเมื่อผู้นำแสดงถึงความเห็นอกเห็นใจทีม คนในทีมก็จะรู้สึกว่าได้รับการมองเห็น และมีคุณค่า ซึ่งช่วยให้ทีมมีแรงจูงใจในการทำงานเพิ่มขึ้น, มีส่วนร่วมมากขึ้น และพร้อมจะทำงานหนักขึ้นเพื่อทีม
เช่น เมื่อทีมทำงานพลาด หรือผลงานตก ผู้นำอาจเลือกคุยส่วนตัว ถามด้วยน้ำเสียงอ่อน แสดงความเป็นห่วงแทนการตำหนิ พร้อมยื่นมือช่วยเหลือในสิ่งที่ทีมต้องการ เพื่อทำให้ทีมรู้สึกได้รับการเข้าใจ มีกำลังใจ และกล้าเดินหน้าต่อ
📌 5. อย่ามองข้ามความสำคัญของ ‘พลังมิตรภาพ’ ภายในทีม
บทเรียนสำคัญที่สุดของ Stranger Things คือการไม่มองข้าม และให้ความสำคัญกับ ‘มิตรภาพ’ อย่างแท้จริง ตัวละครใน Hawkins ไม่ได้แค่ทำงานร่วมกัน แต่ยังห่วงใยกันและกัน เช่น ตอนที่ Eleven เสียสละตัวเองดึง Demogorgon กลับไปยังมิติที่มันจากมา เพื่อรักษาความปลอดภัยของเพื่อน ๆ
บทความจาก Forbes กล่าวว่า พนักงานหลาย ๆ คน อยากได้สนับสนุนทางจิตใจจากเพื่อนร่วมงาน เพื่อผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากในการทำงาน นั่นทำให้การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในที่ทำงาน เป็นเรื่องที่ควรความสำคัญมากขึ้น เพราะเมื่อมีมิตรภาพที่ดี คนทำงานมักรู้สึกสนุกและพอใจกับงานมากกว่าเดิม ยิ่งความสัมพันธ์ที่มีต่อกันแข็งแรงมากเท่าไหร่ การทำงานในทีมก็ยิ่งแข็งแกร่งตามมา ดังนั้นอย่าลืมให้ความสำคัญกับ ‘มิตรภาพ’ ในการทำงาน เพราะมันช่วยสร้างประสิทธิภาพที่ดีในทีมได้
เช่น ผู้นำอาจใช้เวลานิด ๆ หน่อย ๆ หลังเลิกงาน คุยกับทีมเรื่องชีวิตส่วนตัว หรือรับฟังปัญหาเล็ก ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับการประเมินผลงาน เมื่อทีมรู้สึกว่าสามารถพูดคุยกับผู้นำได้อย่างสบายใจ ความไว้ใจระหว่างผู้นำกับทีมก็จะเกิดขึ้น และมิตรภาพนี้จะกลายเป็นแรงใจสำคัญในการทำงานร่วมกันในวันที่งานยากมากขึ้น
ทั้งหมดนี้คือ 5 บทเรียนจากซีรีส์ Stranger Things ที่สะท้อนให้เห็นว่าซีรีส์สยองขวัญ-แฟนตาซี-ไซไฟเรื่องนี้ไม่ได้มีแค่เนื้อเรื่องที่เข้มข้น แต่ยังมีรายละเอียด และมุมมองที่เกี่ยวกับภาวะผู้นำซ่อนอยู่เยอะมาก ๆ
ก่อนจบบทความนี้อยากให้ผู้ที่อ่านบทความได้ลองสังเกตมันอีกครั้งในตอนดู Stranger Things ซีซัน 5 พาร์ท 2 ในวันที่ 26 ธันวาคมนี้ แล้วมาบอกกันหน่อยว่ามีบทเรียนไหนที่เพิ่มเติมจากบทความนี้บ้าง
สุดท้ายนี้ สิ่งที่ซีรีส์เรื่องนี้ได้ทิ้งไว้ให้เราได้ทบทวน คือ การไว้ใจคน, ยอมรับการเปลี่ยนแปลง และใช้จุดแข็งของแต่ละคนให้ถูกที่ถูกทาง เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะโลก Hawkins ใน Stranger Things หรือโลกการทำงานจริง บทเรียนเหล่านี้คือสิ่งสำคัญที่ผู้นำทุกคนควรรู้
✍🏻 เรียบเรียง: ธัญวรัตน์ ปกรณ์รัศมี
ที่มา:
• Lead Like Stranger Things: 5 Leadership Lessons from the Upside Down - https://gentrylusby.com/upsidedown/
• How Workplace Friendships Boost Job Satisfaction And The Bottom Line - https://www.forbes.com/sites/carolinecastrillon/2025/01/05/how-workplace-friendships-can-boost-job-satisfactio/
โฆษณา