28 ธ.ค. เวลา 14:30 • ไลฟ์สไตล์

เรื่องราวของการออมเงินที่ไร้ 'สูตรสำเร็จ'

ถอดบทเรียนจากปลาชาร์แห่ง Alaska กับ การปรับตัวของระบบทางเดินอาหารที่แปรผันตามช่วงชีวิต
🐟 บทเรียนเรื่องการเงินวันนี้มีจุดเริ่มต้นที่แปลกจากเดิมสักหน่อย เพราะมันมาจากปลาชาร์ ดอลลี วาร์เดน ที่แหวกว่ายอยู่ในลำธารตอนใต้ของอะแลสกา ประเทศอเมริกา
นิก มักจิอุลลี (Nick Maggiulli) เขียนเล่าไว้ในหนังสือการเงินชื่อว่า “Just Keep Buying” ว่าช่องว่างระหว่างฤดูร้อนของแต่ละปี แม่น้ำแห่งนี้แทบไม่มีอาหารให้ปลาชาร์เหล่านี้กินเลย แต่พอช่วงต้นของฤดูร้อนวนมาถึง เมื่อปลาแซลมอนที่ท้องเต็มไปด้วยไข่แหวกว่ายกลับมาเพื่อวางไข่ วินาทีนั้นเอง แม่น้ำก็เต็มไปด้วยอาหารที่พวกมันชื่นชอบนั่นก็คือไข่ปลาแซลมอนนั่นเอง
ช่วงเวลาไม่กี่เดือนของปีนี้ปลาชาร์จะตะกละตะกลาม กินไข่แซลมอนอย่างบ้าคลั่ง จอนนี อาร์มสตรอง (Jonny Armstrong) นักวิจัยด้านการอนุรักษ์ เดวิด เอช. สมิท ที่มหาวิทยาลัยไวโอมิงกล่าวว่า “ปลาพวกนี้ชอบทานไข่นี้มาก ท้องของพวกมันเต็มไปด้วยไข่ ลำตัวมีรอยขีดข่วนหรือรอยต่างๆ จากการปะทะกันกับปลาแซลมอน”
แต่เมื่อช่วงเวลานั้นผ่านไป เกือบทั้งปีหลังจากนั้น ปลาชาร์ที่อาศัยในแม่น้ำแห่งนี้ แทบจะไม่ได้ทานอะไรเลย เพราะไม่มีอะไรให้ทาน
สิ่งที่น่าทึ่งก็คือ ช่วงเวลานั้นปลาชาร์ใช้ชีวิตอยู่ได้ยังไง? หลายร้อยหลายพันตัว ว่ายอยู่ในแม่น้ำและยังมีชีวิตรอดมาปีแล้วปีเล่า “ถ้าคุณคำนวณพลังงานและปริมาณอาหารในแหล่งต้นน้ำทั้งปี คุณจะพบว่าพวกมันไม่น่ามีชีวิตรอดได้ตลอดปี” อาร์มสตรองอธิบายเพิ่ม
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
อาร์มสตรองกับเพื่อนร่วมงานของเขาก็พยายามหาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ จนกระทั่งพบว่าสิ่งที่ทำให้ปลาชาร์นั้นอยู่รอดมาปีแล้วปีเล่าในช่วงที่อาหารไม่เพียงพอคือกระบวนการทางชีววิทยาที่เรียกว่า “Phenotynic Plasticity” (พลาสติกฟีโนไทป์) หรือการยืดหยุ่นต่อการปรับตัวสภาพร่างกายให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่ตัวเองอยู่ในเวลานั้นนั่นเอง
อธิบายอีกอย่างหนึ่งก็คือว่าช่วงที่อาหารขาดแคลน ทางเดินอาหารของปลาชาร์จะหดตัวเพื่อใช้พลังงานที่น้อยลง ระบบการย่อยอาหารก็ช้าลง เพื่อไม่ให้ร่างกายจำเป็นต้องใช้พลังงานเยอะเกินไป
แต่เมื่อช่วงต้นฤดูร้อนมาถึง อวัยวะตรงนี้จะขยายใหญ่เป็นสองเท่ากว่าขนาดปกติ เพื่อให้รับอาหารได้มากขึ้น
ซึ่งกระบวนการพลาสติกฟีโนไทป์ ไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์สำหรับการเอาตัวรอดของปลาชาร์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เท่านั้น บทเรียนจากการเรื่องนี้สามารถเอามาปรับใช้กับเรื่องการเงินในชีวิตของเราได้ด้วย
[ เรื่องออมเงินไม่มี One Size Fits All ]
หากเราลองไปกูเกิลว่า “ควรเก็บเงินต่อเดือนเท่าไหร่ดี?”
ลิสต์ของข้อมูลมากมายหลายแสนบทความจะพุ่งขึ้นมาเต็มเลยจากการค้นหาตรงนั้น พร้อมบอกว่าเราต้องเก็บเท่านั้นเท่านี้ต่อเดือน เช่น “ออม 20% ของเงินเดือน” หรือ “ต้องมีเงินออม 3 เท่าของรายได้เมื่ออายุ 40 ปี” หรือ “เริ่มที่ 10% แล้วไป 20% และ 30%”
แม้จะมีเจตนารมณ์ที่ดี แต่มักจิอุลลีมองว่าข้อมูลเหล่านี้มีข้อบกพร่องทางสมมุติฐาน 2 อย่างคือ
1. บทความเหล่านี้ถูกเขียนขึ้นบนสมมติฐานที่ว่ารายได้ของเราจะคงที่เมื่อเวลาผ่านไป
2. ไม่ว่าคุณจะมีรายได้มากน้อยแค่ไหน ก็สามารถเก็บออมได้ในอัตราที่เท่ากัน
แต่ทั้งสองสมมุติฐานนี้ไม่ใช่เรื่องจริงซะทีเดียว
ในส่วนของข้อแรก ข้อมูลจาก Panel Study of Income Dynamics (PSID) พบว่าเมื่อเวลาผ่านไปรายได้จะมีความมั่นคงน้อยลง ข้อมูลระหว่างปี 1968 - 2005 พบว่าแนวโน้มความผันผวนของรายได้ครอบครัวเพิ่มขึ้นโดยประมาณ 25-50%
ความผันผวนนี้ก็มาจากโครงสร้างของครอบครัวที่ตอนนี้มีรายได้สองทางมากกว่าทางเดียว เพราะฉะนั้นความผันผวนจึงเกิดขึ้นบ่อยมากกว่าแต่ก่อน
ส่วนประเด็นที่สอง ปัจจัยใหญ่ที่สุดของอัตราการออมเงินของแต่ละคนไม่ได้ขึ้นอยู่กับนิสัย พฤติกรรมการใช้จ่าย หรือพลังใจที่จะหักห้ามตัวเองไม่ให้ซื้อของฟุ่มเฟือย แต่ปัจจัยใหญ่ที่สุดคือเรื่องระดับรายได้ที่เข้ามาต่างหาก
นักวิจัยจาก Federal Reserve Board และสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจแห่งชาติประเมินว่า ผู้มีรายได้น้อยอยู่ในระดับ 20% ล่าง ส่วนใหญ่ออมเงินได้เพียง 1% จากที่หามาได้เท่านั้น ส่วน 20% บน ออมได้ถึง 24% ของรายได้
นอกจากนี้ ผู้มีรายได้สูงสุด 5% แรก สามารถออมเงินได้ถึง 37% ของรายได้ และผู้มีรายได้สูงสุด 1% แรก สามารถออมเงินได้ถึง 51% ในแต่ละปี
ไอเดียที่มองว่า ‘ทุกคน’ ควร/ต้อง เก็บเงินให้ได้ xxx% หรือ xxx บาท ต่อเดือนนั้นไม่ใช่คำแนะนำที่ใช้ได้จริงในทุกสถานการณ์ของแต่ละคนเสมอไป เป็นคำแนะนำที่มีเจตนารมณ์ที่ดีและถ้าทำได้ก็คงดี เพียงแต่เรื่องการออมเงินมันไม่มีคำตอบที่ใช้ได้สำหรับทุกคน “One Size Fits All” ไม่ได้
นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมปลาชาร์ถึงยังต้องปรับเปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับบริบทที่แวดล้อมต่างไปในแต่ละช่วงปี การออมก็เช่นเดียวกัน เพราะชีวิตเราก็มีความผันผวนและเปลี่ยนแปลงโดยตลอด ไม่มีใครเหมือนใคร ภาระใครบางคนแบกอะไรไว้บ้างก็ไม่มีทางรู้ได้
แล้วเราควรทำยังไงกับเรื่องการออม?
มักจิอุลลีอธิบายว่า “เมื่อเรามีความสามารถในการออมมากขึ้น เราควรออมมากขึ้น-และเมื่อไม่มี เราก็ควรออมน้อยลง”
มีมาก ออมมาก มีน้อย ออมน้อย
บ่อยครั้งหากเพิ่งจบจากมหาวิทยาลัย เริ่มทำงานใหม่ๆ เงินมันยังไม่เยอะหรอก หลังจากทำงานไปสักพักรายได้มันก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น แต่คนที่มีรายได้เยอะๆ บางคนก็ลาออกไปใช้ชีวิตทำงานที่ได้เงินน้อยกว่า แต่เติมเต็มกว่าก็มี
บางงานเราต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในเมืองที่ค่าครองชีพสูง บางงานอยู่ที่ไหนทำก็ได้ โตมาหน่อยอาจจะแต่งงาน มีลูก หย่าร้าง เลื่อนขั้น ขึ้นตำแหน่ง บางวันมีงาน พรุ่งนี้ตกงาน เกิดเหตุฉุกเฉิน ต้องใช้เงินด่วน ฯลฯ
เพราะชีวิตก็แบบนี้ ไม่มีอะไรแน่นอน
การจะมีกฎตายตัวเรื่องการออมคงเป็นไปไม่ได้
พี่หนุ่ม Money Coach เคยเขียนสเตตัสบนเฟซบุ๊กเขาว่า “เริ่มออม ให้เริ่มเท่าที่ไหว ไม่ต้องกำหนดเป็นสูตร หรือ % แต่ออมให้สม่ำเสมอ ระหว่างออม ศึกษาหาทางต่อยอดลงทุนให้เงินโต”
ถือเป็นแนวทางที่ไม่กดดันตัวเองจนเกินไป ค่อยเป็นค่อยไป และหาความรู้ใส่ตัวไปด้วย
#aomMONEY #MakeRichGeneration #การเงินส่วนบุคคล #แนวทางการออมเงิน
โฆษณา