5 ชั่วโมงที่แล้ว • ปรัชญา
บทความด่าที่ได้ไลค์ในกระทู้นี้
จนเป็นสุดยอดคำตอบนั้น คือเหยื่อล่อ
และสิ่งที่ถูกล่อออกมา คืออัตตาของคนที่คิดว่าตัวเองอยู่เหนืออารมณ์ ทันทีที่เห็นบทความด่าที่เต็มไปด้วยการเหมารวม เหยียด และไม่สนเหตุผล ความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้นไม่ใช่สติ ไม่ใช่ปัญญา แต่คือความโกรธและความอยากหักล้าง เพราะสิ่งที่ถูกกระทบไม่ใช่แค่ความคิดเห็น หากแต่เป็นตัวตนที่ถูกผูกไว้กับสิ่งที่ศรัทธา เมื่อสิ่งนั้นถูกโจมตี ความรู้สึกจึงรุนแรงกว่าที่คิด
นี่ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ และไม่ใช่เรื่องของคนอ่อนแอ แต่มันคือกลไกพื้นฐานของมนุษย์ ปัญหาจึงไม่ใช่การเกิดความโกรธ หากแต่อยู่ในสิ่งที่เกิดขึ้นถัดจากนั้น
หลายคนไม่อยากเป็นเหมือนคนที่ด่าหยาบ ไม่อยากดูไร้เหตุผล หรือดูต่ำ จึงเลือกวิธีที่ดูดีกว่า
คือแปลงความโกรธ ให้กลายเป็นคำอธิบาย
เปลี่ยนอารมณ์ให้กลายเป็นเหตุผล
และยกตัวเองขึ้นสู่ตำแหน่งของผู้ชี้ให้เห็นความจริง จากความอยากเอาชนะ กลายเป็นความอยากสั่งสอน
จากความไม่พอใจ กลายเป็นการวิเคราะห์จิตใจผู้อื่น
จากอารมณ์ดิบ กลายเป็นศีลธรรม
แต่ความจริงคือ
ความโกรธไม่ได้หายไปไหน มันเพียงเปลี่ยนภาษาให้ดูสุภาพขึ้นเท่านั้น บทความด่าแบบไร้เหตุผลที่ได้รับการกดไลค์ถล่มทลาย อาจไม่ใช่ศัตรูที่แท้จริงด้วยซ้ำ มันอาจเป็นเพียงเหยื่อล่อ เหยื่อล่อที่ไม่ได้ล่อคนโง่ แต่ล่อคนที่มั่นใจว่าตัวเองฉลาดกว่า ล่อคนที่เชื่อว่าตัวเองมีสติ และล่อคนที่คิดว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ฝั่งของเหตุผล
เพราะทันทีที่เริ่มอธิบายว่าอีกฝ่ายเป็นคนแบบไหน ขาดวุฒิภาวะอย่างไร มีปมอะไรในชีวิต หรือควรถูกจัดวางไว้ตรงไหน การสนทนาก็ไม่ได้มุ่งหาความจริงอีกต่อไป แต่มุ่งไปที่การจัดตำแหน่งของผู้คนในบทสนทนา
ใครควรพูด ใครควรถูกอธิบาย ใครสูง ใครต่ำ และใครควรถูกมองข้าม นี่ไม่ใช่การแลกเปลี่ยนเหตุผล แต่มันคือการใช้อำนาจในรูปแบบที่สุภาพขึ้น
สิ่งหนึ่งที่สะท้อนเรื่องนี้ได้ชัด คือ...
การดึงชื่อบุคคลอื่นเข้ามาใส่ในบทความ
ทั้งที่บุคคลนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับประเด็น ไม่ได้ถูกพาดพิง และมีแนวคิดเป็นปัจเจกของตัวเอง ไม่ได้เหมือนกับผู้เขียน
หลายคนอาจแย้งว่า งานเขียนเชิงวิชาการก็อ้างคนอื่น นักคิด นักวิทยาศาสตร์ ก็ถูกยกมาอยู่เสมอ แต่สองกรณีนี้ไม่เหมือนกันเลย
การอ้างนักคิด คือการอ้างแนวคิดที่แยกออกจากตัวบุคคลได้ เปิดให้ตรวจสอบ โต้แย้ง และไม่ผูกติดกับอัตลักษณ์ของใคร แต่การดึงชื่อผู้ใช้บัญชีรายหนึ่งที่มีตัวตนจริง มีบริบทจริง และไม่ได้พูดในประเด็นนี้ มาใช้เป็นหลักฐานทางศีลธรรมหรือเป็นสัญลักษณ์ของฝ่ายเดียวกัน คือการยืมตัวตนของผู้อื่นมาค้ำความชอบธรรมของตัวเอง
นี่ไม่ใช่การให้เกียรติ แต่คือการลดความเป็นปัจเจกของเขา ให้เหลือเพียงบทบาทในเรื่องเล่าที่ตนต้องการ
คนที่มั่นใจในเหตุผลของตัวเองจริง ไม่จำเป็นต้องมีใครยืนค้ำอยู่ข้างหลัง
เมื่อเหตุผลเริ่มไม่พอ และความชอบธรรมยังสั่น การมีพวกจึงสำคัญขึ้นมาทันที ไม่ว่าจะเรียกมันว่าเพื่อนทางความคิด สหายทางธรรม หรือคนดีฝั่งเดียวกัน โครงสร้างข้างในเหมือนกันหมด คือการบอกกลายๆ ว่าเสียงของตนใหญ่พอจะอธิบายและตัดสินผู้อื่นได้
ตรงนี้เองที่บทความซึ่งอ้างว่ากำลังวิจารณ์ความคิดแบบเหมารวม กลับทำงานด้วยตรรกะแบบเดียวกัน เพียงแต่เปลี่ยนเครื่องแบบให้ดูสะอาด สุภาพ และสูงส่งกว่า
คำด่าหยาบกับคำสอนสวยงาม อาจดูต่างกันมากในสายตาคนอ่าน แต่ในหลายกรณี มันออกมาจากจุดเดียวกัน คือใจที่รู้สึกว่าตัวเองถูกคุกคาม เพียงแค่ฝ่ายหนึ่งเลือกตะโกน ส่วนอีกฝ่ายเลือกเทศน์
เหยื่อล่อทำหน้าที่ได้ดี
ไม่ใช่เพราะมันมีเหตุผล แต่เพราะมันทำให้คนจำนวนหนึ่งลืมหันกลับมาดูใจตัวเอง
หากอ่านมาถึงตรงนี้แล้วรู้สึกไม่พอใจ อยากโต้แย้ง หรืออยากปกป้องตำแหน่งที่ตนยืนอยู่ ความรู้สึกนั้นอาจไม่ใช่เพราะบทความนี้ผิด แต่อาจเป็นเพราะมันกำลังแตะจุดเดียวกับที่บทความด่าแตะ เพียงแค่ใช้ภาษาคนละแบบ
และถ้าเป็นเช่นนั้นจริง บทความด่าอาจไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด มันอาจทำหน้าที่เป็นกระจก ที่สะท้อนให้เห็นว่า ใครยังโกรธ ใครยังยึด และใครยังอยากมีอำนาจในการอธิบายผู้อื่น โดยเรียกมันว่าเหตุผล
โจทย์ของกระทู้.... คือ
ความโกรธที่เกิดขึ้นเมื่อศรัทธาหรือความเชื่อถูกสั่นคลอน เกิดจากอะไร
แก่นของคำถามคือ
กลไกทางใจ ไม่ใช่การตัดสินว่าใครถูกใครผิด
ไม่ใช่การด่า และไม่ใช่การสอนศีลธรรมจากที่สูง
บทความที่ผมเขียนนี้ ตอบโจทย์ตรงมาก
แกนหลักของคำถามครบถ้วน คือ
ผมอธิบายว่า ความโกรธเกิดจากการเอาตัวตนไปผูกกับสิ่งที่ศรัทธา
1
ผมแสดงให้เห็นว่า ความโกรธไม่หายไปเพราะใช้เหตุผลหรือภาษาสุภาพ
ผมชี้ให้เห็นกลไกที่ความโกรธแปลงร่างเป็นการสั่งสอนและจัดตำแหน่งผู้อื่น
ผมอธิบายว่า ทำไมคนที่คิดว่าตัวเองมีสติ
อาจยังติดอยู่ในอารมณ์เดิม
1
ในแง่นี้ บทความผม ได้ตอบคำถามว่า
ความโกรธมาจากอะไรได้ชัด และลึกกว่าคำตอบทั่วไป
แล้วมันเกินโจทย์ที่ตั้งไว้มาก
บทความผม ไม่ได้หยุดแค่การอธิบายภายในใจ
แต่ขยายไปถึงพฤติกรรมทางสังคม
การรวมพวก
การใช้อำนาจผ่านเหตุผล
และโครงสร้างของการสนทนาในพื้นที่สาธารณะ
นั่นหมายความว่า
บทความผม ไม่ได้เป็นแค่ “คำตอบ”
แต่เป็น “คำตอบที่พ่วงคำวิจารณ์บริบท”
1
โฆษณา