1 ชั่วโมงที่แล้ว • ไลฟ์สไตล์

6 เดือนแผนพลิกโฉมการเงิน : จนคุณในอนาคตจะอยากกลับมาขอบคุณตัวเองในวันนี้

ย้อนสถิติหนึ่งที่น่าสนใจจากปี 67 พบว่าครัวเรือนไทยมีภาระหนี้สินเฉลี่ย 606,378 บาท/ครัวเรือน โดยคิดเป็นสัดส่วนหนี้ในระบบ 69.9% และ หนี้นอกระบบอีก 30.1% และเมื่อเปรียบเทียบรายได้และค่าใช้จ่ายของครัวเรือนในปัจจุบันพบว่าประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 46.3 มีรายได้น้อยกว่ารายจ่าย
นั่นหมายความว่าเกือบครึ่งหนึ่งของคนไทยรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่ายจนต้องหยิบยืมเงินจากที่ต่างๆ มาใช้ในชีวิตประจำวันมากขึ้นเรื่อยๆ
แน่นอนว่าปัญหาส่วนหนึ่งก็เป็นเรื่องของข้าวยากหมากแพง เศรษฐกิจไม่ดี ราคาพืชผลตกต่ำ ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยภายนอกที่เราสามารถควบคุมได้น้อยมากๆ
แต่ปัญหาอีกส่วนหนึ่งที่ยังพอทำอะไรกับมันได้คือการบริหารจัดการและวางแผนการเงินของเราให้ดีขึ้น รัดกุมและรอบคอบยิ่งขึ้น
หลายคนพอได้ยินแบบนี้เบือนหน้าหนี เพราะเงินก็น้อยอยู่แล้ว จัดการเงินเป็นเรื่องของคนมีเงิน คนไม่มีเงินจะไปจัดการอะไร
แต่ผมว่ามุมมองนี้อาจจะไม่ถูกต้องนัก
📌 พี่หนุ่ม MoneyCoach เขียนไว้ในหนังสือ Money Mindset ว่า “ทุกวันนี้มีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังเข้าใจผิดในเรื่องของ "การวางแผนการเงิน" และความเข้าใจผิดอันดับหนึ่งที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ "การวางแผนการเงินเป็นเรื่องของคนที่มีเงินเยอะ" หรือ "ต้องมีเงินเหลือมากพอให้วางแผน" ส่วนคนที่มีเงินน้อยหรือเงินไม่ค่อยพอใช้นั้นหมดสิทธิ์
โดยส่วนตัวแล้ว ผมคิดเห็นตรงกันข้ามเลยครับ
ผมคิดว่า ยิ่งมีเงินน้อยนั่นแหละยิ่งต้องวางแผน และต้องวางแผนให้ละเอียดด้วย”
เพราะฉะนั้นวันนี้เลยอยากจะแชร์แผน 6 เดือนเพื่อพลิกโฉมการเงินแบบทำได้จริงจาก นิชชา ชาห์ (Nischa Shah) YouTuber สายการเงินที่มีผู้ติดตามมากกว่า 1.5 ล้านคน เธอเคยทำงานอยู่ในวงการธนาคารมาเกือบ 10 ปี ได้ช่วยเหลือและให้ความรู้เรื่องเงินกับคนอื่นมานับไม่ถ้วน
สิ่งหนึ่งที่เธอชี้ให้เห็นคือเราไม่ต้องมีเงินเดือนมหาศาลเพื่อจะไปถึงเป้าหมายทางการเงินของเราที่ตั้งเอาไว้ “คนส่วนใหญ่ที่มีความมั่นคงทางด้านการเงินที่ฉันรู้จักไม่ได้มีเงินเดือนเยอะเลยด้วยซ้ำ” เธอบอก
แต่สิ่งที่คนเหล่านั้นมีคือแนวทางการจัดการเงินที่ชัดเจนซึ่งคุณเองก็ทำได้เช่นกัน
✅ [ เดือนที่ 1 : แกะพลาสเตอร์ ]
ในทางจิตวิทยามีอคติทางความคิดอันหนึ่งที่ชื่อว่า “Ostrich Effect” ที่คนหลีกเลี่ยงข้อมูลเชิงลบหรือข่าวร้าย ราวกับนกกระจอกเทศที่มุดหัวลงดินเมื่อเผชิญอันตราย ตัวอย่างเช่น คนไม่เช็กพอร์ตหุ้นในช่วงตลาดตก หรือเลี่ยงการตรวจสุขภาพเพราะกลัวผลลัพธ์
ชาห์บอกว่าการหนีความจริงหรือไม่รับรู้ความจริงนอกจากจะไม่ได้ทำให้ปัญหามันหายไปแล้ว ยิ่งทำให้เราเครียดยิ่งกว่าเดิม เพราะในสมองเรารู้อยู่แล้วว่าปัญหากำลังเลวร้ายลงเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้นในเดือนแรกสิ่งที่เราต้องทำคือเผชิญหน้ากับปัญหาแบบตรงๆ แกะพลาสเตอร์ที่แปะแผลออกก่อน แม้จะเจ็บ แต่จำเป็น เพราะขั้นตอนแรกของการรักษาแผลต้องเริ่มที่ต้นเหตุ
ในเดือนนี้ให้ลองหาแอปฯ ที่ติดตามการเงิน หรือจะใช้พวก Google Sheet มาเริ่มเก็บ 4 ตัวเลข
1. รายได้ทั้งหมดหลังหักภาษี (Net Income) : ไม่ว่าจะงานหลัก งานรอง งานอะไรที่ได้เงิน หลังหักภาษีและประกันสังคมต่างๆนานาแล้ว เหลือเท่าไหร่ ให้ใส่ในช่องนี้
2. รายจ่ายหลัก (Fundamental Expenses) : ค่าใช้จ่ายหลักๆ ในการมีชีวิตอยู่ เช่นค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเน็ตมือถือ ประกัน อาหาร สุขภาพ ค่าเดินทาง ง่ายๆ คือสิ่งที่ไม่มีแล้วคุณภาพชีวิตจะร่วงทันที
3. สำหรับตัวคุณในอนาคต (Future You) : เงินที่แบ่งไว้สำหรับตัวเราในอนาคต เช่นเงินสำรองฉุกเฉิน เงินโป๊ะหนี้ เงินสำหรับพัฒนาตัวเอง เงินเพื่อเดินทางช่วงสิ้นปี ฯลฯ
4. เงินเพื่อความสนุกในชีวิต (Fun Spending) : เงินที่ใช้สำหรับซื้อของที่สร้างความสุขให้กับตัวเราเอง ค่าสตรีมมิงทั้งหลาย ของฝาก วันเกิด กาแฟ ยิม บริจาค กินข้าวนอกบ้าน ฯลฯ
พอเราติดตามค่าใช้จ่ายเหล่านี้ จะเริ่มเห็นรูปแบบการใช้จ่ายเงินบางอย่างที่ ‘เราอาจจะไม่อยากเห็น’ สักเท่าไหร่ บางทีเงินหมวดที่ 4 อาจจะเยอะไปก็ได้ หรือบางทีเราอาจจะแบ่งเงินให้ตัวเราในอนาคตแค่นิดเดียวทั้งๆ ที่สามารถทำได้เยอะขึ้น ฯลฯ
แต่ประเด็นคือเมื่อเรารู้เราถึงแก้ไขปัญหาตรงนี้ได้ ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญมากๆ ในเดือนแรก
✅ [ เดือนที่ 2 : เปลี่ยนแนวคิด ]
เดือนนี้จะเป็นเดือนที่ท้าทายมากๆ แต่ถ้าทำได้ เราจะเริ่มเห็นความหวังที่ปลายทางอย่างแน่นอน
ชาห์บอกว่าให้เราลองท้าทายตัวเองดู โดยการตั้งเป้าว่าจะเก็บเงินให้ได้ = 1 เดือนของ ‘รายจ่ายหลัก’ ของตัวเอง
เช่น เรามีรายได้ 25,000 บาท รายจ่ายหลักทั้งเดือนคือ 10,000 บาท พอสิ้นเดือนเราจะต้องมีเงินเหลือในบัญชี = 10,000 บาท เพราะฉะนั้นต้องวางแผนการใช้จ่ายเงิน 5,000 บาทที่เหลือให้ดี (25,000 - 10,000 - 10,000)
เริ่มจากการปรับแนวคิด (Mindset) ว่า “เราไม่ได้กำลังทำให้ตัวเองอดอยาก แต่เรากำลังเอาเงินไปซื้ออิสรภาพ” แล้วหลังจากนั้นก็ตัดค่าใช้จ่ายทุกอย่างที่ไม่จำเป็นออกให้หมด แคนเซิลสมาชิก เลิกกินข้าวนอกบ้าน เดินทางให้น้อยลง หรือชอปปิงออนไลน์ทั้งหลาย โดยชาห์แนะนำว่าให้ลองแบบ ‘all in’ ทำให้สุดแล้วไปให้ถึงเป้าหมายไปเลย
ถ้าไม่ไหวจริงๆ เช่นรายจ่ายหลักต่อเดือนสูง 20,000 บาท แล้วรายได้เท่าเดิม อาจจะตั้งเป้าว่าจะทำในกี่เดือนแล้วกระจายเก็บให้ครบ แต่อย่าใช้เวลาที่ยาวขึ้นเป็นข้ออ้างในการใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายระหว่างทาง
พอเก็บเงินก้อนนี้ได้ ความหวังในการจัดการเงินของตัวเองจะเริ่มมีความเป็นไปได้มากขึ้น
✅ [ เดือนที่ 3 : จัดการหนี้แย่ๆ และเริ่มเก็บเงินสำรองฉุกเฉิน ]
พอได้ยินคำว่า ‘หนี้’ หลายต่อหลายคนคิดว่ามันก็เหมือนกันหมด แต่ชาห์บอกว่าหนี้บางอย่างเช่นหนี้บ้าน หนี้การศึกษา หรือ หนี้สำหรับการทำธุรกิจ แบบนี้จัดอยู่ในหมวดหนี้ดี แต่ถ้าเป็นหนี้บัตรเครดิต หนี้อุปโภคบริโภค หรือหนี้กดเงินสด แบบนี้ถือเป็นหนี้แย่
สิ่งที่เราต้องโฟกัสในเดือนนี้คือการจัดการหนี้แย่ก่อน (หนี้อื่นๆ ก็ยังจ่ายเหมือนเดิมนะ)
เอาหนี้ทุกก้อนมาวางเรียงกันแล้วดูว่าหนี้อันไหนดอกเบี้ยเยอะสุด สิ่งที่ต้องโฟกัสคือหนี้ที่ดอกเบี้ยมากกว่า 8% ต่อปี แล้วจ่ายหนี้พวกนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
นี่คือวิธีการออกจากหลุมหนี้ที่เราขุดเอาไว้ที่เร็วที่สุดเมื่อมีรายได้เข้ามาแล้ว แบ่งเก็บให้ตัวเองเล็กน้อยเผื่ออนาคต (เพิ่มความรู้สึกบวกให้กับตัวเองด้วย) และจ่ายรายจ่ายหลักๆ เรียบร้อยแล้ว ที่เหลือให้อัดใส่หนี้แย่ๆ พวกนี้เพื่อปิดให้เร็วที่สุด
อาจจะใช้เวลาหลายเดือนหรือเป็นปีไม่เป็นไร แต่ต้องสม่ำเสมอ ปัญหาไม่มีทางหายไปในวันเดือนหรือแค่เดือนเดียวอย่างแน่นอน
ทีนี้พอวางแผนจัดการหนี้เหล่านี้เสร็จ จ่ายหนี้เสียหมดแล้ว เริ่มสร้างบัญชีสำรองฉุกเฉิน เก็บเงินก้อนสำหรับรายจ่ายหลัก 3-6 เดือน (ถ้างานมั่นคงก็อาจจะ 3 เดือน แต่ถ้างานมีความเสี่ยงหน่อยก็เก็บ 6 เดือน) หรือบางคนอาจจะเก็บ 12 เดือน แล้วแต่ความสบายใจด้วย
เก็บไว้ในบัญชีที่เข้าถึงได้ง่าย แต่ไม่ง่ายจนเกินไปอย่างบัญชีฝากประจำดอกเบี้ยสูงต่างๆ
แต่ชาห์ก็บอกว่าอย่าติดอยู่ตรงนี้นาน ระหว่างที่สร้างบัญชีสำรองฉุกเฉิน ให้เริ่มแบ่งเงินบางส่วนเอาไว้เพื่อเดือนที่ 4 ต่อเลย
✅ [ เดือนที่ 4 : หาความรู้และเริ่มต้นลงทุนไปด้วย ]
หลายคนอาจจะมองว่าการลงทุนเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและเข้าใจยาก ซึ่งถ้าเราเลือกหุ้นเองหรือลงทุนด้วยตัวเองก็อาจจะเป็นเรื่องจริง แต่สิ่งที่ชาห์แนะนำคืออย่าลืมสำรวจสิทธิประโยชน์ของที่ทำงานว่ามีอะไรบ้าง
อย่างสมมติในบ้านเราบริษัทมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งเป็นกองทุนที่นายจ้างและลูกจ้างร่วมกันจัดตั้งขึ้นด้วยความสมัครใจ เพื่อให้ลูกจ้างมีเงินออมไว้ใช้จ่ายยามเกษียณอายุ ออกจากงาน ทุพพลภาพ หรือเป็นหลักประกันให้แก่ครอบครัวหากลูกจ้างเสียชีวิต แบบนี้ก็ควรทำ เพราะเป็นเงินที่นายจ้างสมทบเพิ่มให้
ส่วนเรื่องลงทุนก็พยายามทำให้ง่ายที่สุดอย่างการลงทุนในกองทุนดัชนีหรือ ETFs เพื่อกระจายความเสี่ยง ซึ่งกองทุนดัชนีอย่าง S&P500 ตลอด 20 ปีที่ผ่านมาผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีก็ประมาณ 10% แล้ว
หลังจากเริ่มเก็บเงินสำรองฉุกเฉิน ก็ค่อยๆ ทยอยแบ่งเงินมาลงทุนทีละนิด เมื่อไหร่ก็ตามที่เงินสำรองฉุกเฉินครบแล้วก็นำเงินที่เหลือมาทำให้ส่วนของลงทุนงอกเงยมากขึ้นได้เลย
✅ [ เดือนที่ 5 : สร้างโอกาสหารายได้เพิ่ม ]
ทุกงานควรมอบอย่างใดอย่างหนึ่งให้กับเรา : ถ้าไม่ใช่โอกาสในการเรียนรู้และเติบโต ก็ต้องเป็นโอกาสในการสร้างรายได้ที่มากขึ้น
แน่นอนว่าเราอยากจะได้ทั้งสองอย่าง และถ้าเราไม่ได้อะไรเลยทั้งสองอย่าง ก็ต้องเริ่มลงมือทำอะไรสักอย่างแล้ว อย่างเช่นเจรจาขึ้นเงินเดือน หรือหาโอกาสใหม่ๆ ในการสร้างรายได้ที่มากขึ้น
ชาห์แนะนำว่าถ้าเรารู้สึกว่าบริษัทเห็นคุณค่าของคุณน้อยเกินไป ลองเจรจาต่อรองเงินเดือนดู ถ้าไม่ได้ก็ต้องหาโอกาสใหม่ๆ เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองด้วย
และอย่าลืมว่าเราสามารถหาโอกาสในการทำงานฟรีแลนซ์หรือธุรกิจส่วนตัวของตัวเองได้ด้วย
✅ [ เดือนที่ 6 : สร้างระบบอัตโนมัติเพื่อลดการตัดสินใจ ]
เรื่องการเงินก็เหมือนการตัดสินใจทุกอย่างในชีวิตที่อาศัยพลังงาน และในแต่ละวันเราจะต้องเจอเรื่องที่ต้องตัดสินใจเป็นร้อยๆ พันๆ อย่าง
สิ่งเหล่านี้นำมาซึ่ง ‘Decision Fatigue’ ที่ความสามารถในการตัดสินใจของเราจะแย่ลงเรื่อยๆ เมื่อใช้พลังงานตรงนี้หมดไปในแต่ละวัน (เหตุผลว่าทำไมดึกๆ เราถึงอยากกินขนมกรุบกรอบหรือของหวานตอนเหนื่อยๆ)
ชาห์เลยแนะนำว่าให้เราสร้างระบบให้ทุกอย่างเป็นอัตโนมัติ เงินเข้ามาเสร็จปุ๊บก็ตัดแบ่งเป็นส่วนๆ จ่ายหนี้ เข้าบัญชีฉุกเฉิน ไปซื้อกองทุนดัชนี ฯลฯ ทำทุกอย่างที่ทำให้เป็นอัตโนมัติได้ ให้ทำเลย
“ความลับของความสำเร็จทางการเงินไม่ใช่เรื่องของวินัย แต่เป็นการตัดความจำเป็นของวินัยออกไปให้หมดเลยต่างหาก” หรือพูดอีกอย่างคือเอาวินัยออกไป แล้วทำให้อย่างให้เป็นระบบอัตโนมัตินั่นเอง
✅ [เดือนต่อๆ ไป]
6 เดือนนี้คือพื้นฐานที่จะช่วยสร้างระบบการเงินในชีวิตของคุณให้แข็งแกร่งขึ้นได้ หากทำได้ตามนี้รับรองเลยว่าคุณในอนาคตจะอยากกลับมาขอบคุณตัวเองที่เริ่มในวันนี้อย่างแน่นอน
อีกอย่างที่ต้องทำและทำตลอดไปคือการ ‘ปรับแต่ง’ อยู่เสมอ ส่วนไหนที่ทำได้ดีก็ทำต่อไป ส่วนที่ต้องแก้ไข หรือจังหวะชีวิตเปลี่ยน (แต่งงาน มีลูก ย้ายงาน ย้ายบ้าน ฯลฯ) การเงินก็จะต้องมีการปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ (ไหนจะเป็นโอกาสทางการเงิน กฎหมาย ฯลฯ) แผนการเงินไม่ใช่สิ่งที่เขียนครั้งเดียวแล้วจบเลย แต่ต้องทำอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ
#การเงินส่วนบุคคล #แผนพลิกโฉมการเงิน #เปลี่ยนแปลงด้านการเงิน #วางแผนการเงิน
โฆษณา