9 ส.ค. 2019 เวลา 12:39 • บันเทิง
เรื่องสั้น : แสงสุดท้ายที่ใต้น้ำ
"In war all suffer defeat even the victors."
Swedish Proverb
"พยาบาล! เตรียมใส่ท่อช่วยหายใจ ระบบการหายใจของเขาล้มเหลว" เสียงหมอหนุ่มตะโกนโหวกเหวกอยู่ข้างหู แต่ผมรู้สึกเหมือนกำลังจมดิ่งลงไปใต้พื้นน้ำที่เย็นเฉียบ เสียงความวุ่นวายรอบตัวกำลังค่อยๆ เลือนลาง คล้ายตอนที่เรากำลังดำลึกลงไปใต้เกลียวคลื่นกลางทะเลใหญ่ แสงสว่างที่ส่องผ่านเข้ารูม่านตาก็กำลังอ่อนแสงลงเรื่อยๆ คล้ายกับว่าฟ้ากำลังมืดลงเพราะเมฆฝนกำลังตั้งเค้ารอพายุที่กำลังจะโหมกระหน่ำในไม่ช้า
ภาพที่เลือนลางตรงหน้า คล้ายๆ กับว่าผมเห็นหน้าเพื่อนรักของผม เจมส์ ใบหน้าเขาสีซีดเผือก ตาดำที่ดูขุ่นราวกับปลาที่ตายบนแผงขายปลาในตลาดสดตอนเช้า ร่างที่ลอยไร้น้ำหนักอยู่ใต้น้ำนั่น ภาพที่ผมจำได้ไม่มีวันลืมจนถึงวินาทีนี้ วินาทีที่ผมกำลังจะ "ตาย"
11 วันก่อนหน้า
ผมเดินก้าวเท้าไวๆ เพื่อข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม จู่ๆอาการปวดร้าวราวกับมีตะปูตัวใหญ่ถูกตอกลงที่หัวเข่าอย่างจังก็เล่นงานเอาดื้อๆ จนผมต้องร้องโอ้ย
ความปวดทำให้ผมต้องหยุดเดินอยู่ริมบาทวิถีหน้าโรงแรม เบเลวู สเตร็ทฟอร์ด จุดหมายของการเดินทางมาไกลบ้านในครั้งนี้ เจ้าหัวเข่าบ้านี่มันปวดมากขึ้นทุกที คงเพราะอายุย่างเข้าเลขเจ็ดของผมกระมัง มันถึงคราวเอาคืนที่ผมใช้งานมันมาหนักตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมาแล้วสิ
ความปวดนี้เล่นเอาผมลืมสังเกตุความงามของโรงแรมสุดหรูหราอลังการแห่งนี้ไปเสียทีเดียว ผมคงได้แต่หวังว่าจะมีแรงพอเดินขึ้นบันไดสุดหรูเพื่อขึ้นห้องประชุมให้ไหว โดยยังมีความองอาจภาคภูมิของทหารที่ได้เหรียญกล้าหาญให้เห็นอยู่บ้าง ดีกว่าการเดินกระเผลกๆ เข้างานราวกับทหารแก่ใกล้ลงโลงที่พยายามโผล่มาในงานฉลองที่ยิ่งใหญ่ในครั้งนี้
พออาการปวดเริ่มทุเลา ผมจึงพยายามเดินอย่างสง่าเข้าไปในโถงของโรงแรมสุดหรู โคมไฟระย้ากลางโถงดูงดงาม มันประดับด้วยแก้วเจียระไนห้อยสลับซับซ้อน มันสะท้อนแสงจากหลอดไฟสีส้มด้านในคล้ายแสงจากดวงดาวหลายล้านดวงที่ถูกจับมากองรวมกันไว้บนเพดานของโถงโรงแรมแห่งนี้ ด้านบนรอบๆ เฉลียงทางเดินของชั้นลอยถูกประดับไว้ด้วยธงชาติสหรัฐอเมริกาและผ้าประดับโทนสีแดงน้ำเงินตัดกันดูโดดเด่นและงดงามเมื่อถูกจับเป็นจีบโค้งประดับรอบโถงต้อนรับยาว ยิ่งสร้างความภูมิใจให้ผมอีกเป็นกองที่เป็นส่วนเล็กๆส่วนหนึ่งของการสร้างเอกราชของชาติมาจนครบ 200 ปีในวันนี้
1
ผมเดินไปหน้าประตูห้องประชุมใหญ่ ยืนรอเพื่อนอีกสองสามคนที่นัดกันไว้ หลังจากไม่ได้เจอหน้ากันมานาน เจอกันครั้งสุดท้ายน่าจะตอนโดนเรียกตัวมารับเหรียญกล้าหาญในครั้งนั้น แม้ว่าแต่ละคนจะแยกย้ายกันไป แต่เรายังโทรหากันบ้าง แต่ที่นิยมกลับยังเป็นการเขียนจดหมายถึงกันเรื่อยมาเป็นระยะ
ผมเหลือบไปเห็น โทมัส ยืนคุยกับ ปีเตอร์ อยู่ที่ใกล้ๆกันพอดี ผมรีบเดินเข้าไปทักทาย
"ไงเพื่อนรัก ...พระเจ้า ให้ตายเถอะ ดีใจว่ะที่ได้เจอพวกนายอีก" ผมรีบเข้าไปสวมกอดเพื่อนทั้งสองในทันที
"ดีใจที่เจอนายเหมือนกัน เดฟ ดีใจจริงๆสบายดีใช่มั้ยไอ้เพื่อนยาก" โทมัสผละออกจากอ้อมกอด น้ำเสียงสั่นเครือราวกับกำลังร้องไห้
"นั่นสิ พวกเราดูไม่ต่างจากตอนนั้นเลย แค่หัวขาวกันหมดแล้ว แถมหนังเหี่ยวๆ อีกนิดหน่อยเองใช่มั้ยเดฟ" ปีเตอร์หัวเราะร่วนก่อนจะเข้ามาโอบกอดกับผม
"เอาจริงๆ นะ พวกนายยังดูเป็นทหารหนุ่มที่มีสายตาที่มุ่งมั่นเหมือนตอนนั้นเสมอ และตอนนี้ก็ยังเป็น ฉันเห็นพวกนายเป็นแบบนั้นเสมอเพื่อน" พวกเรายังยืนจับมือกันแน่น ทักทายกันอยู่อีกซักพัก จึงพากันมานั่งกันในโถงห้องประชุมใหญ่
นี่เป็นการรวมตัวครั้งใหญ่ของทหารที่เคยร่วมรบในสงครามเพื่อมาตุภูมิ เราสามคนก็เช่นกัน ความหึกเหิมก็ยังคุกรุ่นในใจ ยิ่งเรามารวมกันมากๆ แบบนี้ ยิ่งรู้สึกราวกับว่าเรากำลังย้อนไปตอนกำลังรวมพลเพื่อเตรียมออกเดินทางลงเรือไปรบตอนนั้นไม่มีผิด ทั้งตื่นเต้นและหวาดกลัวเคล้ากันอยู่ในที
เราสามคนพากันไปนั่งใกล้ช่องเครื่องปรับอากาศเพราะในห้องประชุมมีคนนับพัน อากาศในห้องประชุมดูอบอ้าวพอสมควรเมื่อคนมารวมตัวกันมากขนาดนี้ เราจับจองที่นั่งกับเรียบร้อย ก็ยังคงถามไถ่เรื่องราวชีวิตช่วงที่ผ่านมากันอย่างครึกครื้น
ซักพักมีมือข้างหนึ่งมาสัมผัสที่ไหล่ซ้ายของผม ผมหันกลับไปดูว่าใครกันที่เป็นเจ้าของมือนั่น ผมเหลือบเห็นรอยแผลเป็นของผิวหนังคล้ายไฟลวกอย่างรุนแรงของมือขวาที่จับบนบ่า ผมเงยหน้าขึ้นไปเจอชายคนหนึ่ง ด้านขวาของใบหน้ามีแผลเป็นขนาดใหญ่จากไฟลวกเช่นกัน ด้านขมับขวาไร้ซึ่งเส้มผมเพราะแผลเป็นที่ว่ากว้างกินพื้นที่ไปจนถึงท้ายทอย
"ไง เพื่อน เดฟ....สุขสบายดีใช่มั้ย นายคงดีใจที่ยังมีลมหายใจจนถึงตอนนี้สินะ แต่ "เจมส์" กลับไม่มีโอกาสแบบนาย น่าเศร้านะเพื่อน" เพื่อนร่วมรบของผมอีกคน เควิน กำลังยิ้มอย่างไร้ไมตรียืนอยู่ข้างหลังผม รอยยิ้มนั่นเหมือนปีศาจที่ลิงโลดจากการได้พบเหยื่อรายใหม่มากกว่า... ผมรู้สึกได้
ผมนั่งแข็งทื่อด้วยคำพูดของเควิน จึงนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่กล้าหันไปสบตาเควินอีกด้วยซ้ำไป เควินยังคงจับมือทักทายปีเตอร์และโทมัสตามปกติ ใช่พวกเค้ายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมาตลอด แต่ไม่ใช่สำหรับผม ที่ตอนนี้กำลังนั่งกุมมือที่เปียกชื้นอยู่ภายใต้ความคิดเพียงลำพัง หายใจขัดราวกับกำลังจมดิ่งลงใต้ทะเลลึกเหมือนในวันนั้น...วันที่เหมือนกำลังอยู่ในขุมนรกก็ไม่ปาน
เช้าตรู่ของเมื่อ 35 ปีที่แล้ว
ผมตื่นเช้าเพื่อมาชื่นชมอากาศที่สดชื่นของเกาะสวรรค์ คงไม่มีโอกาสได้มาที่นี่ง่ายๆ หากผมไม่ได้ประจำการบนเรือรบ เนวาด้า หนึ่งในเรือรบที่ซึ่งตอนนี้เทียบท่าอยู่ที่อ่าวเพิร์ลฮาเบอร์ ในหมู่เกาะฮาวาย สถานที่ที่น้ำทะเลและชายหาดงดงามราวสวนสวรรค์ ผมขึ้นมายืนที่ดาดฟ้าเรือในชุดเสื้อกล้ามกางเกงขาสั้น ได้ยินเสียงนกทะเลร้องเรียกกันไปมา บรรยากาศโดยรอบยังเงียบสงบ ทหารบางคนบนดาดฟ้าเรือรบ แอริโซน่า ยังยืนแปรงฟันพร้อมชมวิวฟังเสียงคลื่นอยู่ไกลๆพอมองเห็น
ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอดให้สดชื่นรับเช้าวันใหม่ กะไว้ว่าวันนี้จะขึ้นฝั่งเพื่อไปหาซื้อของใช้ส่วนตัวนิดหน่อยที่จำเป็น ขณะที่กำลังยืดเส้นยืดสายอยู่นั่นเอง ผมได้ยินเสียงอื้ออึงมาแว่วๆ พวกนกทะเลต่างบินกันให้ควั่ก ผมหันมองไปบนฟ้าทั้งซ้ายและขวา เห็นมีฝูงเครื่องบินลำเล็กๆกำลังมุ่งตรงเข้ามาทางเรา น่าแปลกไม่มีการส่งข่าวก่อนหน้าว่าจะมีกำลังรบจากหน่วยไหนมาที่เพิร์ลฮาเบอร์เลยเท่าที่ผมทราบ ผมจึงยืนมองอีกครู่
"พระเจ้า นั่นอะไร" ผมสบถกับตัวเอง ขณะที่เห็นเครื่องบินฝูงนั้นบินในระดับต่ำและมุ่งหน้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
"ไม่ได้การแล้ว" ผมรีบวิ่งกลับเข้าไป วิ่งผ่านช่องทางเดินมุ่งตรงเข้าไปที่ห้องพักของพวกเรา ผมรีบปลุกเพื่อนๆในห้องต่างๆ บางคนยังงัวเงียดูจะงงที่มีคนเอะอะแต่เช้า ผมดิ่งเข้าไปห้องพักของตัวเอง ผมปลุก เจมส์ เควิน และปีเตอร์ เพื่อนร่วมห้องของผม
"เฮ้ ตื่นพวก ข้างนอกมีเรื่องไม่ดีแน่ ฉันรู้สึกได้" ผมเขย่าตัวเจมส์ที่ยังขี้ตาอ้าปากหาวอยู่
"มีเครื่องบินฝูงใหญ่ ไม่น่าใช่เครื่องบินของเราพวก! ข้างนอกนั่น" ผมรีบดึงตัวปีเตอร์ให้ลุกออกจากเตียง
ตูม! เสียงระเบิดดังสนั่น จนเรือโคลงไปทั้งลำ เควินหัวกระแทกเพดานเหนือที่นอนดังตุ๊บจนร้องออกมาเสียงหลง
"นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย" เจมส์รีบลุกขึ้นวิ่งออกไปดูเหตุการณ์ที่ด้านนอก ส่วนปีเตอร์รีบวิ่งออกไปห้องข้างๆเพื่อไปเรียกโทมัสเพื่อนสนิทมาจากบ้านเดียวกัน
"เควิน เร็วเข้า เราซวยแน่งานนี้" ผมรีบวิ่งออกจากห้องเพื่อตามเจมส์ออกไปติดๆ ผมวิ่งตรงไปตามทางเดินแคบและยาวก่อนจะออกไปถึงทางแยกด้านหน้า ที่ซ้ายจะออกไปทางเดินข้างกาบเรือ ส่วนทางขวาจะเป็นบันไดเพื่อขึ้นไปยังดาดฟ้าเรือ ใช่ที่นั่นมีปืนต่อสู้อากาศยานบาโฟ นั่นอาจจะช่วยต้านการโจมตีทางอากาศได้
"ตูม!" เสียงระเบิดดังสนั่นห่างจากครั้งแรกไม่กี่สิบวินาที เรือรบสั่นจนโคลงอีกครั้ง ผมกระแทกเข้ากับผนังเหล็กจนล้มเอาเข่ากระแทกพื้นอย่างจัง มันปวดแปล๊บจนเกินบรรยาย
ผมพยายามลุกขึ้นในทันที ออกวิ่งกะเผลกไปไปที่ดาดฟ้าเรือ ผมเดินขึ้นมาบนดาดฟ้าเรือ เห็นควันสีดำทมึนพุ่งขึ้นสู่ฟ้า มันมาจากเรือรบเวสเวอร์จิเนีย มีเสียงระเบิดดังสนั่นอีกหลายครั้ง เจ้าเครื่องบินบ้าสีดำนั่นบินวนเต็มท้องฟ้าไปหมด ผมรีบก้มตัวลงต่ำวิ่งไปที่แท่นปืนบาโฟทางด้านหน้าเรือ เจมส์รออยู่ตรงนั้นแล้ว กำลังระดมยิงขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างบ้าคลั่ง
ผมได้บินเสียงตูมดังสนั่น เรือรบแอริโซน่าที่จอดอยู่ด้านหน้าระเบิดขึ้นตูมใหญ่ เปลวไฟพุ่งสูงขึ้นปล่อยควันสีดำทะมึนขึ้นสูงเสียดฟัา เสียงดังของระเบิดดังระงมไปทั่ว ผมวิ่งไปที่ปืนต่อสู้อากาศยานอีกฝั่ง ผมเหลือบมองไปเห็นทหารหลายนายกระโดดหนีเอาชีวิตรอดจากเรือรบแอริโซน่าที่กำลังลุกไหม้อย่างหนัก ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดสลับเสียงระเบิดอีกหลายระรอก ตอนนี้เรือแอริโซน่ากำลังปริแตกออกและจมลงอย่างรวดเร็ว
ผมเล็งปืนบาโฟขึ้นบนท้องฟ้า พยายามไล่ยิงเจ้าเครื่องบินรบสีดำที่กำลังโฉบไปมา ราวกับแมลงวันที่กำลังร่อนวนเพื่อสำรวจแหล่งอาหาร ผมพยามไล่ยิงแต่ก็ไร้ผล พวกมันบินต่ำและโฉบไปมาจนยิงได้ลำบาก และทันใดนั้นเองมีวัตถุสีดำขนาดใหญ่ถูกปล่อยลงมาจากฟ้า มันพุ่งดิ่งลงมาแล้วมุดหายลงไปใต้น้ำอย่างรวดเร็ว
"บึ๊ม!!!!" เรือของเราสั่นสะเทือนจนน่ากลัว ตอปิโดลูกนั้นชนเข้าอย่างจังกับเรือของเราเสียแล้ว ผมกระเด็นตกลงมาจากปืนต่อสู้อากาศยาน เสียหลักกลิ้งไปตามพื้นจนไปชนกับปืนใหญ่ที่ขว้างอยู่ ผมรีบพยุงตัวขึ้นยืน แต่ดาดฟ้าเรือตอนนี้เริ่มโก่งตัวขึ้นๆลงๆ ปริแตกเป็นทางหลายที่ ผมพยามเดินและย่อตัวลงต่ำเพื่อหลบการโจมตีจากบนท้องฟ้าไปด้วย
" เดฟ.. เดฟ ทางนี้เราต้องไปที่ข้างเรือ เรืออาจจะระเบิดเมื่อไหร่ก็ได้ ทางนี้" เจมส์พยายามพยุงตัวเดินผ่านผมไปทางกาบเรือ ผมจึงพยายามตามเจมส์ไปติดๆ
แต่ตอนนี้ที่รู้สึกได้คือ เรือของเรากำลังเคลื่อนที่อยู่ มันกำลังค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป ผมสงสัยว่ากัปตันกำลังทำอะไรในตอนนั้น ซึ่งภายหลังได้ทราบว่าจริงๆ เป็นการเปิดทางเพื่อไม่ให้เรือรบของเราไปขวางทางเรืออื่นที่อยู่ด้านใน ที่อาจมีโอกาสเคลื่อนที่เพื่อหลบการโจมตีออกมาได้ ซึ่งเรือของเราอาจจมลงจากการโจมตีก่อนหน้า และจะขวางเรือลำอื่นๆไว้จนหมด นับเป็นการตัดสินใจที่รวดเร็วแต่ก็เปล่าประโยชน์อย่างที่รู้กันในภายหลัง...
พอเรือเคลื่อนที่ผมกับเจมส์ก็พยายามเกาะราวเหล็กที่กาบเรือไว้แน่น เพราะการจะกระโดดลงไปตอนเรือกำลังเคลื่อนที่อาจจะจบชีวิตเราได้ง่ายยิ่งกว่าห่ากระสุนจากเครื่องบินรบบนฟ้าตอนนี้เสียด้วยซ้ำ
ผมเห็นเควิน ปีเตอร์ และโทมัสแล้ว พวกเค้ายืนกันอยู่ทางท้ายของเรือกับเพื่อทหารอีกหลายคน พวกนั้นกำลังหาที่มั่นเพื่อหลบคมกระสุนและแรงระเบิดที่เกิดขึ้นรอบๆตัว จนไม่สามารถแยกได้ว่าเป็นระเบิดที่ข้าศึกท้ิงลงมา หรือเป็นเพราะเรือรบของเราเองที่กำลังระเบิดขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยวเช่นนี้ แต่ที่แน่ๆคือ ชีวิตพวกเรากำลังหน้าสิ่วหน้าขวานจริง นี่ไม่ใช่สงครามแบบที่เราจินตนาการไว้เลย มันรวดเร็วและโหดร้ายกับการโจมตีในเวลาที่เหล่าทหารยังหลับไหลกันอยู่ด้วยซ้ำ
"โอ พระผู้เป็นเจ้า นี่ลูกยังไม่ตื่นจากฝันใช่ไหม"
โปรดติดตามตอนต่อไป

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา