14 ต.ค. 2019 เวลา 06:49 • ปรัชญา
#ความแข็งแกร่งที่ต้องสร้าง
หากคุณกำลังท้อแท้ น้อยใจกับชีวิตอ่านเรื่องราวของเด็กชายคนนี้แล้วคุณจะเปลี่ยนไป
จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง
มาร์แชล เทเลอร์ เกิดในครอบครัวที่มีปัญหาทางด้านการเงินอย่างหนัก เขาอาศัยอยู่ในเมือง อินเดียนาโพลิส รัฐอินเดียนา พ่อของเขาจึงต้องดิ้นรนหางานทำอยู่เสมอ เพื่อนำมาเลี้ยงดูครอบครัว จนได้ทำงานเป็นคนขับรถม้าให้กับตระกูลเซาท์เอิร์ธผู้มั่งคั่งที่สุดในเมืองอินเดียนาโพลิส
ไม่นานนัก มาร์แชลอายุได้ 13 ปี ครอบครัวเซาท์เอิร์ธ ก็ตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่ชิคาโก้ แต่ด้วยความที่ มาร์แชล กับลูกชายของพวกเขาสนิทกันมาก ราวกับว่าเป็นพี่น้องกันจริง ๆ เศรษฐีจึงได้พูดคุยกับครอบครัวของมาร์แชลว่า "ขอให้ลูกของเธอย้ายไปอยู่ด้วยกันกับเราที่ชิคาโก้ได้ไหม"
ด้วยความที่แม่ของมาร์แชล ทนไม่ได้ที่ลูกจะจากไปอยู่ที่อื่น จึงรีบตอบปฏิเสธด้วยความสุภาพกับเศรษฐีไปทันที
ชีวิตที่ขึ้น ๆ ลง ๆ
จากนั้นมาชีวิตครอบครัวของมาร์แชล ก็เปลี่ยนไปเพียงชั่วข้ามคืน จากชีวิตที่สะดวกสบายกลับกลายเป็นยากลำบากขึ้นกว่าเดิม
มาร์แชลจึงเริ่มมองหาลู่ทางเพื่อทำเงินทันที ซึ่งในช่วงนั้นอยู่ในทศวรรษ 1890 เป็นปีที่ผู้้คนคลั่งไคล้การขี่รถจักรยานกันอย่างมาก
เขาจึงเริ่มจากการขี่รถจักรยานที่ครอบครัว
เซาท์เอิร์ธยกให้ไปส่งหนังสือพิมพ์ตามบ้านต่าง ๆ และเรียนรู้การเล่นกลกับจักรยาน เพื่อสร้างความประทับใจให้กับเหล่าบรรดาเจ้าของร้านในละแวกนั้นได้เห็นว่า เขามีความสามารถเพียงพอที่ร้่านค้าจะจ้างทำงานได้
ฝึกฝันและฝึกฝน
ด้วยเหตุนี้เอง มาร์แชล จึงได้เริ่มทำงานเป็นนักเล่นกล กับนักแสดงผาดโผน เขาแสดงอยู่ที่หน้าร้านขายจักรยานแห่งหนึ่งในเมือง และสวมใส่ชุดคล้ายทหารทุกครั้งที่ขึ้นแสดง ทำให้คนที่เดินผ่านไปมาแถวนั้นเรียก มาร์แชล ว่า "นายพัน" ตามเครื่องแบบที่เขาสวมใส่
จนถึงงานกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและเป็นที่นิยมมากที่สุดในยุคนั้นคืองานกีฬาแข่งขันจักรยาน
จุดเริ่มที่คิดว่าดีเยี่ยม
ภายในงานจะมีการจัดแข่งขันขี่จักรยานในทุกรูปแบบ ทั้งระยะสั้นไม่ถึงหนึ่งไมล์ จนถึงระยะยาวที่กินเวลามากถึง 3 วัน กติกาก็คือผู้เข้่าแข่งทุกคนมีเวลานอนเพียงคืนละ 1 ชั่วโมงเท่านั้น ต่อการขี่จักรยานทุก ๆ 8 ชั่วโมง
ส่งผลให้การแข่งขันระยะยาวแบบนี้ มีผู้ได้รับบาดเจ็บ บางครั้งก็ถึงขั้นเสียชีวิตเลยก็มี ทำให้นักแข่งมืออาชีพมีรายได้สูงมากเป็น 4 เท่าของนักเบสบอลอาชีพ และถือว่านี้เป็นรายได้ที่เยอะที่สุดเลย
เมื่อทราบแบบนั้นเจ้าของร้านที่มาร์แชลทำงานอยู่จึงพยายามจะใช้ประโยชน์จากความนิยมในการแข่งขันครั้งนี้ให้เป็นสื่อในการโปรโมทร้านจักรยานของตนเอง ด้วยวิธีส่ง มาร์แชลเข้าไปลงแข่งขันขี่จักรยานในระยะทาง 10 ไมล์
จากความพยายาม
เจ้าของร้านบอกกับมาร์แชลว่า "ฉันรู้ว่าเธอขี่จนครบ 10 ไมล์ไม่ได้หรอก" เขาบอกกับ มาร์แชล ที่สีหน้าดูกังวลใจแล้วพูดต่อไปว่า " เธอแค่ขี่จักรยานขึ้นไปบนถนนนิดหน่อยเพื่อให้ผู้ชมประทับใจ แล้วพอเธอเหนื่อยก็ขี่กลับมาเลย"
แต่สิ่งที่เจ้าของร้านไม่รู้เกี่ยวกับ มาร์แชลเลยคือ มาร์แชลขี่จักรยานไปกลับวันละ 50 ไมล์ทุกวันเพื่อมาทำงานที่ร้านแห่งนี้ และมาร์แชลก็คิดว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะคว้าไว้ให้ได้
เมื่อเสียงสัญญาณเริ่มการแข่งขันดังขึ้น มาร์แชล ก็เริ่มขี่จักรยานออกไปตามเส้นทางที่กำหนดไว้ แม้ในการแข่งขันจะทำให้เขาเหนื่อยจนแทบล้มฟุบลงกับพื้น และต้องเอาชนะนักแข่งที่มีประสบการณ์มากกว่า เขาก็สามารถขี่ไปจนสุดทาง และได้รับชับชนะในที่สุด โดย มาร์แชล เข้าเส้นชัยก่อนคนอื่นถึง 6 นาทีด้วยอายุเพียง 13 ปีเท่านั้น ทำให้นายจ้างของเขาทั้งตกใจและดีใจมากที่ มาร์แชล ชนะในการแข่งขันครั้งนี้
อุปสรรคที่เข้ามา
นั้นคือวันเริ่มต้นอาชีพนักแข่งขันที่มาร์แชล เทเลอร์ ภาคภูมิใจที่สุด และยังเป็นวันเริ่มต้นชีวิตที่ยากลำบากมากขึ้นกว่าเดิมอีกขั้นด้วย เนื่องจากนักแข่งจำนวนมากในเมืองนี้ยอมรับไม่ได้ที่ตัวเองแพ้ให้กับนักแข่งที่ไม่ใช่คนผิวขาวอย่าง มาร์แชล
พวกนักแข่งเหล่านั้นจึงชอบข่มขู่ มาร์แชล เป็นประจำ และพยายามกีดกันไม่ให้มาร์แชลลงแข่งในทุก ๆ รายการที่สโมสรจักรยานของเมืองนี้จัดขึ้น จนถึงขั้นห้ามให้ มาร์แชล ลงแข่งขันอีกเด็ดขาด เพราะความอิจฉากลัวว่า มาร์แชล จะเก่งกว่าเท่านั้น
เมื่อมาร์แชลอายุครบ 17 ปี เพื่อนพร้อมกับที่ปรึกษาของเขาก็ช่วยจัดการให้ได้เข้าร่วมการแข่งขันขี่จักรยานอีกครั้ง ถึงแม้ว่าจะไม่มีการรับรองอย่างเป็นทางการ แต่การถูกเหยียดหยามอย่างหนักมาโดยตลอดทำให้มาร์แชลต้องพิสูจน์และพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นไปอีก
ผลจากการไม่ยอมแพ้
ซึ่งในที่สุดเขาก็สามารถพิสูจน์ให้เห็นได้ ว่าเขาขี่จักรยานระยะทาง 1 ไมล์โดยเข้าเส้นชัยก่อนคนอื่นถึง 8 นาที และต่อมาก็ได้ทำลายสถิติโลกสำเร็จในการแข่งขันระยะทาง 0.2 ไมล์
แต่พอถึงจุดหนึ่ง มาร์แชล รู้ตัวเองว่าต่อให้เขาพยายามทำมากเท่าไร ก็ไม่สามารถทำให้คนที่ อินเดียนาโพลิส ยอมรับเขาได้หรอก มาร์แชลจึงตัดสินใจย้ายไปอยู่ แมสซาซูเซตส์
เพราะที่นี่มีสโมสรนักขี่จักรยานแห่งอเมริกาและเป็นเพียงองค์กรเดียวที่ลงมติอย่างเป็นเอกฉันท์ว่า "จะไม่มีการห้าม หรือยับยั้งสมาชิกผิวดำลงแข่งขันในทุกรายการ" จึงทำให้มาร์แชลเริ่มลงแข่งขันได้อีกครั้ง
เพราะเลือกเกิดไม่ได้
อย่างไรก็ตามนักแข่งจำนวนมากก็ยังไม่ยอมรับ จึงข่มขู่เขาซ้ำแล้วซ้ำอีก ในบางครั้งก็ขั้นช่วยกันกักขัง พยายามทำร้ายเขา ยิ่งถ้าหากแข่งขันแล้วได้รับชัยชนะ ก็จะยิ่งทุบตีหนักขึ้น และบีบคอจนเกือบถึงตายเลย
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้มาร์แชลตัดสินใจย้ายลงใต้ไปพักอยู่ที่ซาวันนาห์ เพื่อฝึกซ้อมในช่วงฤดูหนาว แต่อยู่ได้ไม่นาน เขาก็ได้รับจดหมายที่มีข้อความระบุว่า
เรียนคุณเทเลอร์ "ถ้าคุณไม่ออกจากที่นี่ภายใน 48 ชั่วโมง คุณจะเสียใจ เราเอาจริง ออกไปซะถ้่่าไม่อยากตาย" จากนักแข่งผิวขาว และในตอนท้ายของจดหมายมีรูปหัวกะโหลกกับกระดูกไขว้อยู่ด้วย เมื่อ มาร์แชล อ่านจดหมายจบจึงรีบย้ายขึ้นเหนือในทันทีเพื่อรักษาชีวิตของตัวเขาเอง
ชัยชนะที่ถูกจารึกไว้
ด้วยความเก่งกาจด้านการขี่จักรยานของมาร์แชล ทำให้ผู้คนขนานนามเขาว่า "พายุหมุนไซโคลนสีดำ" เขากลายเป็นนักแข่งอาชีพตั้งแต่ตอนอายุ 13 ปี และก่อนอายุ 20 มาร์แชลก็ทำสถิติโลกขึ้นมาได้ถึง 7 ครั้ง ชนะการแข่งขัน 29 นัด จากทั้งหมด 49 รายการที่ลงแข่ง และเป็นแชมป์จักรยานโลกในปี 1899 พร้อมจบอาชีพนักแข่งลงตอนอายุ 32 ในปี 1910
ต่อจากนั้นมา มาร์แชล ก็เริ่มเข้าสู่วงการธุรกิจ แต่ก็ต้องพบกับอุปสรรคอีกครั้ง เนื่องจากอยู่ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่จนตลาดหุ้นล้มอย่างรุนแรง
1
และในปี 1932 มาร์แชลก็เสียชีวิตลงอย่างคนยากไร้และถูกลืมเลือนจากผู้คนที่ชื่นชมเขาไปทุกที
การเดินทางของชีวิต
ความเจ็บปวด และอุปสรรคที่มาร์แชลต้องข้ามผ่านมาด้วยความยากลำบาก ทำให้เขาเปลี่ยนไปตลอดกาล เพราะนี่คือตัวบีบบังคับให้ต้องเปลี่ยนแปลง และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ
มาร์แชล ไม่ได้เอาแต่นั่งขื่นขมกับชีวิต แต่กลับทำงานหนักขึ้น ยิ่งรู้ว่าคู่แข่งพยายามจะทำร้ายระหว่างการแข่งขัน เขาก็ยิ่งพยายามเรียนรู้เพิ่มเพื่อที่จะก้าวนำหน้าและรักษาตำแหน่งไว้ให้ได้
1
แจน บราวน์ หลานสาวของมาร์แชล ได้ออกมาเล่าในภายหลังว่า "ตอนที่น่าตื่นเต้นที่สุดในชีวิตของพวกเขาคือการต่อต้านข้อจำกัดที่คนอื่น ๆ สร้างขึ้นมาขัดขวางมาร์แชล แต่ด้วยความที่มาร์แชลยังคงสนใจ และตั้งใจทำในเรื่องเดิมต่อไป ประกอบกับการรักษาจิตวิญญาณที่มีต่อการไปถึงเป้าหมาย
จุดที่ดีกว่าเดิม
ทำให้ความมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายของมาร์แชล เพิ่มขึ้นอย่างมาก และเราคิดว่านั้นคือรางวัลที่ล้ำค่าที่สุดในตัวเขาแล้ว แต่ด้วยวิธีที่เขาสามารถทำจนสำเร็จได้นั้นน่าประทับใจที่สุดจึงถือเป็นโชคชั้นที่สองในชีวิตที่เขาควรได้รับจริง ๆ "
มาดอนน่า เคยกล่าวไว้ว่า "ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ไม่ว่าคุณจะทำอะไรมา และไม่ว่าคุณจะมาจากที่ไหน คุณย่อมสามารถกลายเป็นคุณในแบบที่ดีกว่าเดิมได้เสมอ"
หากชื่นชอบก็อย่าลืมกด Like กด Share เพื่อเป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ สามารถแชร์แนวคิด มุมมองดีๆได้ใน Comments นี้เลย 😄
โฆษณา