18 พ.ย. 2019 เวลา 12:15 • ไลฟ์สไตล์
ความทรงจำในวันวาน(ต่อ ตอนที่3)
หลังจากที่ได้ฟังข่าวที่น่าดีใจแล้ว
ลูกหลานคนอื่นของยายก็ได้เดินทางกลับบ้านไป
เหลือเพียงแม่และฉันที่อยู่คงจะเรียกว่า "เฝ้าไข้"
นั่นแหละแม้จะไม่ได้เฝ้าอยู่ข้างเตียง
เพียงแต่นอนอยู่ที่ห้องพักของญาติซึ่งเป็น
โซนที่ทางโรงพยาบาลจัดไว้ให้
Cr. Manoot_Si
(เพื่อที่จะเข้าใจเรื่องราวมากขึ้น
โปรดอ่านความเดิมตอนที่แล้ว)
ในระหว่างทางที่เดินไปยังที่พักฉันมองไปรอบ ๆ
อย่างสำรวจ โรงพยาบาลเป็นสถานที่ที่ฉันไม่ชอบ
และเชื่อว่ามีคนจำนวนมากเลยล่ะที่ไม่ชอบ
โรงพยาบาลเหมือนกันกับฉัน ใช่ไหมล่ะ
เพราะส่วนมากแล้วการไปที่นั่นหมายถึงเรา
หรือคนใกล้ชิดเจ็บป่วย ทุกคนต่างรู้ดีว่า
โรงพยาบาลไม่ใช่สถานที่น่าภิรมย์มาเยือนเลย
ไม่ว่าจะเป็นความแออัดของผู้ป่วยที่มานั่งรอคิว
ยาวเหยียดแต่เช้าเพื่อจะรับการรักษา
อีกทั้งยังมีญาติผู้ป่วยอีกมากที่มาเยี่ยมและ
ให้กำลังใจผู้ป่วย ทำให้โรงพยาบาลไม่ว่าจะ
ใหญ่โตกว้างขวางแค่ไหนก็ดูคับแคบลงไปถนัดตา
ไปจนถึงบรรยากาศที่อบอวลด้วยกลิ่นอาย
ความป่วยไข้ ภาพใบหน้าที่เศร้าสร้อยดูอิจโรย
ของทั้งผู้ป่วยและญาติ เสียงร้องโอดโอยจาก
ความเจ็บปวดหรือแม้กระทั่งเสียงร้องไห้ที่ร้อง
ปานจะขาดใจเมื่อมีเรื่องมากระทบจิตใจ
อย่างการสูญเสีย หรือเห็นคนรักที่ต้องเจ็บปวดทรมาน
ทุกครั้งเมื่อยามที่เห็นหรือได้ยินแล้ว
มันชวนหดหู่ใจยิ่งนัก
หลังจากที่ก้าวเท้าเข้ามาในห้องพักของ
ญาติผู้ป่วยฉันกวาดสายตามองไปรอบ ๆ
ห้องโล่ง ๆ ที่ไม่ได้มีเฟอร์นิเจอร์อะไรเลย
ปูพื้นด้วยกระเบื้อง แล้วปูเสื่อผืนบางทับอีกที
มีพัดลมไว้ช่วยคลายความร้อน ตามผนังห้อง
หรือหน้าต่างก็จะมีผ้าขนหนูหรือเสื้อแขวนผึ่ง
ตากไว้
ความรู้สึกของฉันตอนนี้เหมือนกำลังเข้าค่าย
อะไรสักอย่าง อยู่ที่ไหนสักที่ที่เขาจัดห้อง
ให้นอนรวมกัน แต่ละคนก็มีกระเป๋าสัมภาระ
จับจองที่นอนที่พักผ่อนตามจะเลือกได้
และอยู่ในมุมของตัวเอง
ฉันเห็นบางคนนอนหลับพักผ่อน
บางคนนั่งจับกลุ่มคุยกัน บางคนคุยโทรศัพท์
แล้วก็มีบางคนที่ส่งเสียงเอ่ยทักแม่ของฉัน
แล้วมองมาที่ฉันอย่างสงสัยคงด้วยความ
อยากรู้ว่าฉันเป็นใคร
แต่เอาจริงๆ ถึงไม่บอกก็น่าจะรู้ว่าไม่เป็นลูก
ก็น่าจะเป็นหลาน เพราะใบหน้าของฉันกับแม่
แทบจะเรียกได้ว่าโขลกออกมาจากพิมพ์เดียวกัน
รูปร่างและสีผิวที่ไม่ได้แตกต่างกัน ส่วนสูง
ที่ห่างกันเพียง 5 cm. จะต่างกันก็ตรงรอยยับย่น
บนใบหน้าและสีผมเท่านั้น พูดง่ายๆคือฉันได้
แม่มาเต็มๆ อยู่แถวบ้านไม่ต้องบอกเลยว่าลูกใคร
ดูจาก DNAที่อยู่บนหน้าก็รู้แล้ว จำชื่อฉันไม่ได้ก็
เรียกชื่อแม่ก็มี ฉันเคยเอารูปของแม่ตอนยังอายุ
เท่าฉันมาเปรียบเทียบกันอย่างเหมือนเลยอะ
แล้วคนที่เอ่ยทักคงจะรู้จักหรือคุ้นเคยกับแม่
เพราะมาเฝ้าคนป่วยหลายวันแล้วเช่นกัน
แต่ก็ไม่ได้คุยอะไรกันมาก เพราะแม่ชวนฉันไป
อาบน้ำ อาบเสร็จจะได้ไปเยี่ยมยายอีกรอบใน
ตอนค่ำพอดี
เมื่อถึงเวลาเยี่ยมฉันและแม่ก็ล้างมือก่อนที่จะ
เข้าห้องไปยังห้อง CCU ตามกฎของโรงพยาบาล
เตียงที่ยายอยู่เตียงเกือบจะริมสุดของห้อง
จึงทำให้เห็นญาติผู้คนอื่นที่มาเยี่ยมผู้ป่วยกัน
การดูแลเอาใจใส่คอยพูดคุยให้กำลังผู้ป่วย
แน่นอนว่ามันทำให้เห็นถึงความรักความห่วงใย
ที่มีให้แก่กัน แต่บางคนก็ไม่ได้มีญาติมาเยี่ยม
ฉันเห็นเขานั่งและนอนโดยที่สายตาก็ยังคง
ทำหน้าที่มองไปรอบๆอย่างสนใจหรืออะไร
ฉันก็ไม่อาจรู้ได้ ที่ไม่มีญาติมาเยี่ยมคงเป็น
เพราะร่างกายดูแข็งแรงใกล้ได้ออกจากห้อง CCU
แล้วหรือญาติคงไม่สะดวกล่ะมั้ง ฉันได้แต่สรุป
เอาเองในใจ
พอถึงเตียงที่ยายนอนพักอยู่ พยาบาลที่ดูแล
ก็บอกอาการของยายให้ฟัง ซึ่งอาการป่วย
ก็ดูจะดีขึ้นเรื่อยๆ หลอดเลือดขยายใหญ่ขึ้น
อาการภาวะหัวใจล้มเหลว น้ำท่วมปวด เสมหะ
ลดลง พรุ่งนี้หมอว่าจะถอดท่อช่วยหายใจ
ออกให้ฝึกหายใจเอง นั่นทำให้แม่กับฉันยิ้มออกมา
ฉันกับแม่พูดคุยอยู่เป็นเพื่อนยายจนหมดเวลาเยี่ยม
เมื่อเยี่ยมยายเสร็จแล้วก็ไปหามื้อเย็นทาน
บรรยากาศในโรงพยาบาลเมื่อยามฟ้ามืด
ก็ไม่ได้ดูน่ากลัวเท่าไหร่ เพราะยังมีผู้คนอยู่
เยอะแยะ เสียงคุยกันจ๊อกแจ๊กจอแจดังให้ได้
ยินอยู่ตลอด หรือเพราะไม่ได้ผ่านที่ที่มันวังเวง
ก็ไม่รู้
มื้อเย็นในรอบเกือบ 4 เดือนที่ได้กินพร้อมกัน
กับแม่ ฉันก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะต้องมากิน
ที่โรงพยาบาลเลย
ระหว่างที่กำลังกินอยู่ก็มีน้องหมาน้องแมว
เข้ามาเมียงมองด้วยสายตาที่บอกว่า
"ฉันก็หิวนะขอกินหน่อยสิ"
นั่นจึงกลายเป็นว่าฉันกินข้าวพร้อมกับแม่
และน้องหมาน้องแมวที่ม้านั่งหน้าห้องพักญาติ
ถึงแม้ว่าอาหารมื้อนี้มันจะไม่ใช่อาหารเลิศรส
หรือหรูหรา แต่การได้กินข้าวพร้อมกันกับคนที่เรา
รักนั่นคือโชคดีที่สุดแล้ว
เมื่อทานมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อย ก็จัดการ
ทำธุระส่วนตัวเตรียมจะเข้านอนแต่ก็แค่
เตรียมเท่านั้นแหละ เพราะพอเข้ามา
ในห้องแล้วแม่ก็คุยกันกับบรรดาญาติๆของ
ผู้ป่วยคนอื่น ที่ต่างก็เฝ้าไข้ อย่างออกรสออกชาติ
ส่วนฉันก็กลายเป็นหมอนวดจำเป็นคอยนวด
คลายเส้นให้กับแม่เหมือนเมื่อครั้งที่อยู่บ้าน
หูก็ฟังว่าผู้ใหญ่เขาคุยอะไรกัน เท่าที่จับใจ
ความได้ ก็คุยกันเรื่องอาการป่วยของคนท
ี่แต่ละคนมาเฝ้านั่นแหละ บางคนมาเฝ้าอยู่
ที่โรงพยาบาลเป็นเดือนสองเดือนแล้ว
ยังไม่ได้กลับเลย บางคนก็มีเด็กเล็กมาด้วย
คงเพราะถ้าให้อยู่ที่บ้านคงไม่มีใครดูแล
ถึงแม้ในวงสนทนาจะมีหน้าของแต่ละคนจะ
แต่งแต้มด้วยรอยยิ้มบ้าง มีเสียงหัวเราะในบางครา
แต่นั่นคงไม่ใช่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่บ่งบอก
ถึงความสุขหรอก วันที่คนป่วยที่พวกเขามาเฝ้าไข้
อาการดีขึ้นจนหายเจ็บหายป่วยนั่นแหละถึงจะมี
ความสุขจริงๆ
เช้าวันใหม่
เมื่อถึงเวลาเยี่ยมในตอนเช้า ฉันกับแม่ก็เข้าไป
เยี่ยมยายอีกครั้ง หน้าตาของยายดูสดชื่นขึ้น
แต่ก็ยังต้องใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่ และ
เหมือนเดิม ฉันกับแม่อยู่กับยายจนหมดเวลา
เยี่ยมในช่วงเช้า ก่อนออกจากห้องไปฉันบอก
กับยายว่า เดี๋ยวตอนเที่ยงมาเยี่ยมใหม่นะ
เยี่ยมยายเสร็จก็ไปเติมพลังที่โรงอาหารของ
โรงพยาบาลนั่นแหละบรรยากาศของโรงพยาบาล
ก็ยังเหมือนเดิมสำหรับฉันนี่คือบรรยากาศที่
ชวนให้ใจหดหู่ ฉันจึงชวนแม่ออกไปเดินสูด
อากาศที่สวนสาธารณะซึ่งอยู่ตรงข้ามกับ
โรงพยาบาล
สวนสาธารณะแห่งนี้อยู่ใจกลางเมือง ที่มีพื้นที่
และบริเวณกว้างขวางกว่า300ไร่ กว้างใช่ไหมล่ะ
กว้างจนเดินแทบไม่ทั่วเลยล่ะ
ที่นี่มีลักษณะเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ รายล้อม
ด้วยต้นไม้ ซึ่งถูกจัดเป็นสวนไว้อย่างสวยงาม
และมองเห็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมือง
ตั้งอยู่ขนาบข้าง
ไฮไลท์ที่น่าสนใจที่ทำให้ได้รับความสนใจ
จากนักท่องเที่ยว คือ เจ้าตุ๊กตาเป็ดยางสีเหลือง
ที่ลอยโดดเด่นอยู่กลางน้ำทำให้มองเห็นมาแต่ไกล
ซึ่งกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของที่นี่ไปแล้ว
นอกจากนี้ยังมีหลายจุดให้เก็บภาพสวย
ทั้งสะพานแขวน และสัญลักษณ์เครื่องปั้นดินเผา
ที่เป็นเหมือนของสำคัญของจังหวัด
ศาลเทพารักษ์ ศาลศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง
ซึ่งเมื่อเดินทางมาถึงแล้วก็ไม่พลาด
ที่จะเข้าไปสักการะและกราบไหว้
ขอพร ขอโชคลาภ
และยังมีมีสนามเด็กเล่น ลานกีฬาต่างๆ
ในช่วงเช้าและเย็นของทุกวัน จะมีคนมา
ออกกำลังกายที่นี่จำนวนมาก
Cr. Manoot_Si
ในเวลาสายๆแบบนี้ก็ยังมีคนมาออกกำลังกาย
ทั้งเดิน วิ่ง หรือปั่นจักรยาน
หรือคนที่หาที่นั่งที่นอนอยู่ไม่น้อยเลย
การปั่นจักรยานถือเป็นการออกกำลังกาย
แต่ที่เห็นจะมีอยู่ทุกที่ก็คนขายล็อตเตอรี่
กับจักรยานคู่ใจของเขานี่แหละ ไม่เพียงปั่น
เพื่อสุขภาพแต่มันเป็นอาชีพของเขา
มีเด็กกลุ่มหนึ่งน่าจะเป็นเด็กประถมปั่นจักรยาน
เล่นรอบๆด้วยความสนุกสนาน ฉันก็ได้แต่สงสัยว่า
ทำไมน้องถึงมาปั่นจักรยานอยู่ที่นี่ได้ไม่ไปเรียน
เหรอเพราะวันนี้ก็วันศุกร์นี่นา แล้วคือน้องอยู่ใน
ชุดพละของโรงเรียนด้วยไง แต่ก็ไม่กล้าถาม
น้องหรอกเดี๋ยวน้องจะหาว่าเราเผือก
แล้วก็ยังมีลูกเสือตัวน้อย(หมายถึง ลูกเสือ
ที่เป็นคนนะ) ซึ่งก็น่าจะเป็นเด็กประถมอีก
เหมือนกัน มาเดินทางไกลรอบๆสวนสาธารณะ
แล้วมีเข้าฐานตามจุดต่างๆที่เหล่าคุณครูเตรียม
ไว้ให้
เห็นแล้วก็ทำให้นึกถึงวันวานสมัย
ยังเป็นลูกเสือเหมือนน้องๆเลย
แต่ฉันไม่ได้เดินรอบสวนสาธารณะแบบนี้หรอก
เดินรอบหมู่บ้านไม่ก็เดินขึ้นอุทยานเลย หึ หึ
ก็บ้านฉันไม่ได้อยู่ในเมืองนี่นะ ไม่ได้เรียน
ในเมืองด้วยจะมีโอกาสมาเดินทางไกลรอบ
สวนสาธารณะได้ยังไง
ขณะที่เดินเล่นไปรอบๆสวนจนเหนื่อยแล้ว
จึงหาที่นั่งพัก และคุยเรื่องสัพเพเหระกันไป
ทั้งเรื่องของฉันและน้องที่ดูเหมือนจะทำให้
แม่และพ่อหนักใจอยู่ไม่น้อยเลย
รวมถึงเรื่องอาการป่วยของยายด้วย
ในความรู้สึกของฉันนานแค่ไหนแล้วนะ
ที่ฉันไม่ได้คุยกับแม่ยาวๆแบบนี้
คงตั้งแต่เข้าเรียนมหาวิทยาลัย
เพราะนานๆทีฉันถึงจะกลับบ้านครั้งนึง
Cr. Manoot_Si
การได้คุยกับแม่ยาวๆในครั้งนี้
ทำให้ฉันรู้ว่า แม่และพ่อต้องเหนื่อยขนาดไหน
ต้องขยัน เข้มแข็งและอดทนขนาดไหน
ในการเลี้ยงลูก 2 คนให้เติบโตและสามารถ
เอาตัวรอดเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวได้
ไหนจะต้องดูแลยายที่เจ็บป่วยออดๆแอดๆ
และพูดเสมอว่าตัวเองจะตายแล้ว
รู้ไหมยายฉันพูดแบบนี้ตั้งแต่ฉันยังไม่เกิด
จนตอนนี้ฉันเพิ่งจะอายุครบ 22 ได้ไม่ถึงเดือน
และยายเข้าโรงพยาบาลรอบที่เท่าไหร่
ก็ไม่รู้ แต่แม่ของฉันก็ยังไม่เคยทำใจให้ชิน
ได้เสียที ทุกครั้งที่ยายป่วยหนักฉันก็เห็นแม่
แอบร้องไห้เสมอ ตอนฉันยังเด็กฉันก็ไม่ได้
เข้าใจนักหรอกว่าแม่ร้องไห้ทำไม พอโตขึ้น
ฉันถึงได้รู้ แต่ฉันก็ไม่ได้เป็นหนักเท่ากับแม่
ที่กินไม่ได้ นอนไม่หลับ อยากจะร้องไห้ตลอดเวลา
พ่อก็เป็นห่วง พ่อบอกอาการของแม่ให้ฉันฟัง
เกรงว่าแม่นี่แหละที่จะป่วยไปอีกคนให้ฉันช่วย
ดูแลแม่หน่อย เพราะพ่อก็ไม่รู้จะทำยังไง
ปลอบก็แล้ว อะไรก็แล้วก็ยังเหมือนเดิม
ฉันก็ได้แต่พูดปลอบและให้กำลังใจนั่นแหละ
ถ้าเป็นเรื่องของคนที่รักแม่จะเปราะบางเสมอ
แต่รอบนี้แม่บอกกับฉันว่าแม่ปลงมากแล้วนะ
แม่พยายามไม่คิดมากแล้ว สักวันหนึ่งยังไงก็ต้อง
ถึงเวลาที่ต้องจากต้องพรากกันอยู่ดี ปล่อยวาง
ให้เป็นหน้าที่ของบุญกรรมที่ทำร่วมกันมา
พอได้ฟังแบบนี้แล้วฉันก็ดีใจนะ ที่อย่างน้อยแม่
ก็ไม่ได้ทุกข์ใจมากเหมือนเมื่อก่อนและหวังว่า
แม่จะทำได้อย่างที่พูด
เราคุยกันไปเรื่อยๆอย่างไม่รู้เบื่อ
และดวงอาทิตย์ก็แผดแสงแรงขึ้นจนรู้สึก
แสบร้อนผิว เราจึงเดินกลับมายังที่พัก
ฉันก็เตรียมเก็บกระเป๋าเพื่อกลับไปเรียน
ส่วนแม่ก็ยังอยู่เฝ้าไข้ยายต่อ แต่จะมีป้ามาอยู่
เป็นเพื่อนแม่แทนฉัน แม่บอกฉันว่าแม่อยู่คนเดียว
ไม่ได้นะเดี๋ยวฟุ้งซ่านดีที่เมือคืนลูกมาอยู่เป็นเพื่อน
เฮ้อ นี่แหละแม่ฉันนี่ขนาดบอกว่าปล่อยวางแล้วนะ
เมื่อถึงเวลาเยี่ยมในช่วงกลางวัน ฉันกับแม่
มาเยี่ยมยายอีกครั้งสำหรับฉันคือการเยี่ยม
ครั้งสุดท้ายก่อนกลับไปเรียน อาการของยาย
ก็ดีขึ้นอยู่แต่ยังไม่ได้ถอดเครื่องช่วยหายใจออก
เพราะยังหายใจเองได้ไม่ดีเท่าไหร่
แต่กลับยกขายกแข้งออกกำลังกายได้สบาย
เหมือนตอนที่ยังไม่ป่วยเลยนึกภาพออกไหม
เหมือนเล่นโยคะนั่นแหละ ในขณะที่ฉันนั้น
ยังไม่สามารถเอามือไปแตะปลายเท้าได้เลย
เห็นแบบนี้อีกไม่นานก็คงแข็งแรงออกจาก
โรงพยาบาลได้แล้วล่ะ พอใกล้จะหมดเวลาเยี่ยม
ฉันก็กราบลายายแล้วบอกให้ยายหายป่วยไวๆ
ยายฉันทำคล้ายๆแบบนี้แหละแต่โน้มขามาหาตัวมากกว่านี้อีกหน่อย Cr. ionlinetoyou.com
แม่มาส่งฉันขึ้นรถสามล้อที่หน้าโรงพยาบาล
พร้อมกับอวยพรให้ฉันเดินทางปลอดภัย
ทีแรกแม่อยากให้ฉันกินข้าวก่อน แต่ฉันบอกว่า
ไม่เป็นไรเดี๋ยวซื้ออะไรไปกินที่รถ
เราร่ำลากันเล็กน้อยแล้วฉันจึงขึ้นรถไป
เพื่อจะไปต่อรถทัวร์ไปมหาวิทยาลัยที่เซ็นทรัล
อีกที ใจจริงฉันก็อยากจะอยู่ต่อนะ แต่ทุกคนต่าง
ก็มีหน้าที่รับผิดชอบเป็นของตัวเอง ตัวฉันก็เช่นกัน
ในความคิดของฉัน ถึงจะเป็นห่วงแค่ไหนเราก็
ไม่ควรเอาตรงนั้นมาเป็นข้ออ้างในการทิ้งงาน
ให้เพื่อนที่เหลือทำโดยที่ตัวเราไม่ได้ช่วยอะไร
ช่วงนี้ยิ่งถือได้ว่าไฟลนก้นกันเลยทีเดียว
เพราะอะไรน่ะเหรอ การสอบไฟนอลใกล้เข้ามา
แล้วยังไงล่ะ เหลืออีก 9 วันเอง งานก็ต้องส่ง
หนังสือสอบก็ต้องอ่าน ชีวิตช่วงนี้หนักหน่วงจริง ๆ
เทอมสุดท้ายของการเรียนมหาวิทยาลัยแล้วด้วย
ในเมื่ออาการของยายก็ดีขึ้นแล้ว ก็ควรกลับไป
ทำหน้าที่ของตัวเอง
อาการของยายหลังจากที่ทำบอลลูนหัวใจ
ไปแล้วก็อาการดีขึ้นเรื่อยๆ จนผ่านไป1สัปดาห์
ก็ได้ย้ายออกจากห้องCCU ไปอยู่ห้องพักผู้ป่วยธรรมดา
ลูกพี่ลูกน้องฉันเล่าให้ฟังว่า ยายแก
บอกว่าที่นี่มีผีเยอะแยะเลย ฝันแปลกๆด้วย
ฉันคิดว่าถ้ายายฉันเห็นผีจริงก็คงจะไม่แปลก
หรอกมั้ง ยายเป็นคนจิตอ่อน ยิ่งป่วยอยู่ด้วย
แล้วในโรงพยาบาลมีคนตายวันละไม่รู้กี่คน
ก็ต้องมีบ้างแหละ และวันต่อมายายก็สามารถ
ออกจากโรงพยาบาลไปพักฟื้นที่บ้านได้
นั่นไง ฉันว่าแล้วถ้ายายสามารถยกขายกแข้ง
ออกกำลังกาย บีบนวดให้ตัวเองได้ก็ใช้เวลา
ไม่นานร่างกายก็จะแข็งแรง นี่ถือเป็นข่าวดี
ที่ทำให้ฉันยิ้มออกมาอย่างสุขใจ
To be continued.......
คนเราทุกคนมีงาน มีหน้าที่ มีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ
มากมายจนกระทั่งบางครั้งไม่มีเวลาให้ครอบครัว
ไม่มีเวลาให้คนใกล้ตัว บางคนมีวันหยุดแค่
วันอาทิตย์วันเดียว
แต่ไม่ว่าจะมีภาระหน้าที่อะไรหนักหนาปานใดก็ตาม
แต่อยากให้ใช้เวลาว่าง วันหยุดของคุณให้คุ้มค่า
ใช้เวลาอยู่กับครอบครัว อยู่กับคนใกล้
ตัวคุณให้มาก ๆ ทำให้ดีที่สุด
🌟ดูแลคนที่รักคนที่คุณห่วงใย 🌟
🌟ให้มากที่สุดเมื่อยามที่ยังมีโอกาสได้ดูแล🌟
เมื่อถึงเวลาที่คนใกล้ตัวของคุณเกิดจากไป
ขึ้นมา คุณจะได้ไม่ต้องมานั่งพูดคำถามนี้ในใจว่า
'' ตอนที่มีเวลาเรามัวทำอะไรอยู่ ทำไมเราถึงไม่ใช้เวลานั้นอยู่กับเขาและทำเพื่อเขาให้ดีที่สุด ''
talk
ที่แรกแอดคิดว่าจะเขียนให้จบภายในตอนนี้
แต่เขียนไปเขียนมาแล้วมันยาวมาก เลยตัดจบ
แค่นี้ไปก่อน ตอนหน้าจบแน่นอนค่ะ
ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านนะคะจนจบนะคะ
~มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เข้าใจยาก~
โฆษณา