13 ธ.ค. 2019 เวลา 02:00 • ประวัติศาสตร์
ครั้งหนึ่งของดิสนีย์ ที่เคยเสียค่าโง่ในราคา 7,700 ล้านดอลลาร์
ย้อนกลับไปเมื่อปี 1978 มีชายชื่อ จอห์น ลาสซิเตอร์ (John Lasseter) ซึ่งในขณะนั้นเขาเป็นเจ้าหน้าที่ประจำเครื่องเล่น จังเกิล ครูซ ในสวนสนุก (Disneyland) ของบริษัทเดอะวอลต์ดิสนีย์
ลาสซิเตอร์ มีความฝันอยากเป็นนักสร้างภาพเคลื่อนไหวมาตลอด ซึ่งไม่นานเขาก็ได้เลื่อนขั้นเข้ามาทำงานในสตูดิโอผลิตเเอนิเมชั่นของดิสนีย์ตามที่ตั้งใจไว้
ในตอนนั้นเเอนิเมชั่นทั้งหมดยังเป็นภาพ 2 มิติที่วาดขึ้นมาด้วยมือ เเต่ ลาสซิเตอร์ กลับคิดที่จะสร้างภาพยนตร์เเอนิเมชั่น 3 มิติที่สร้างด้วยคอมพิวเตอร์ทั้งหมดขึ้นมา
ด้วยความที่สตูดิโอของดิสนีย์นั้นสร้างภาพยนตร์ 2 มิติมานานกว่า 50 ปีเเล้ว จึงไม่มีใครเชื่อคำเเนะนำของ ลาสซิเตอร์ เลย
เเต่ ลาสซิเตอร์ ก็ยังยืนยันว่าเขาจะทำให้ได้ จนกระทั่งเขาถูกไล่ออกจากดิสนีย์ !
หลังจากที่ถูกไล่ออกเขาก็ได้ไปทำงานต่อที่บริษัท ลูคัสฟิล์ม
ที่นี่เขาได้มีโอกาสสร้างภาพยนตร์เเอนิเมชั่น 3 มิติที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งขึ้นมา เเต่ด้วยเงินทุนที่น้อยเกินไปเเอนิเมชั่นเรื่องนี้จึงมีระยะเวลาที่สั้นมากๆ
เเต่ก็เหมือนโชคชะตาจะเข้าข้างเขา !
เพราะตอนนั้น สตีฟ จ็อบส์ เพิ่งจะถูกไล่ออกจากเเอปเปิ้ลพอดี เเละได้เข้ามาทำการขอซื้อ บริษัทลูคัสฟิล์ม ไปในราคา 10 ล้านดอลลาร์
เเละทันทีที่ สตีฟ จ็อบส์ เข้ามาบริหารงานงานที่นี่ ลาสซิเตอร์ ก็ได้เปิดหนังสั่้นที่เขาทำให้ สตีฟ จ็อบส์ ดู
ทันทีที่ดูจบ สตีฟ จ็อบส์ ได้ถาม ลาสซิเตอร์ ว่า “ต้องใช้ทรัพยากรอะไรอีกบ้าง บริษัทถึงจะประสบความสำเร็จด้านเเอนิเมชั่นได้”
ลาสซิเตอร์ ตอบว่า เขาต้องการเงินทุน 5 เเสนดอลลาร์ เพื่อที่จะสร้างภาพยนตร์ที่ยาวกว่านี้
สตีฟ จ็อบส์ เซ็นเช็คส่วนตัวเเล้วยื่นให้เขาทันที โดยมีข้อเเม้ว่า “ลาสซิเตอร์ ต้องทำให้มันยิ่งใหญ่สุดๆไปเลย”
เเละในที่สุด ลาสซิเตอร์ ก็สร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาจริง ๆ เเถมยังสามารถคว้ารางวัลออสการ์มาครองได้สำเร็จอีกด้วย
ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนั้นก็คือ Toy Story ภาพยนตร์แอนิเมชัน 3 มิติ เรื่องเเรกของโลกนั่นเอง
เเละภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เป็นต้นกำเนิดของบริษัทใหม่ ของ สตีฟ จ็อบส์ ที่ชื่อว่า พิกซาร์
เเละหลังจากนั้นเป็นต้นมา พิกซาร์ก็ได้สร้างภาพยนตร์เเอนิเมชั่น 3 มิติ ที่ประสบความสำเร็จอีกมากมายหลายเรื่อง ทั้ง Toy Story, A Bug’s Life, The Incredibles, Wall-E และ Up
จนมาถึง Toy Story 3 ที่สามารถสร้างรายได้มากถึงพันล้านดอลลาร์ได้เป็นเรื่องเเรก
เเละ จอห์น ลาสซิเตอร์ ก็เป็นนักสร้างภาพยนตร์เเอนิเมชั่นคนเเรกที่ได้รับรางวัล เดวิด โอ. เซลซ์นิก ที่เเม้เเต่วอลต์ ดิสนีย์ ก็ยังไม่เคยได้รับรางวัลนี้เลยด้วยซ้ำ
ตลอดระยะเวลา 20 ปี พิกซาร์ได้ประสบความสำเร็จมากขึ้นเรื่อยๆ สวนทางกับดิสนีย์ที่สถานการณ์กลับย้ำเเย่ลงทุกวัน เพราะเเอนิเมชั่นเเบบดั่งเดิมของพวกเขาถูกพิกซาร์โค่นลงจนไม่เหลือชิ้นดี
จนสุดท้าย ในปี 2006 ดิสนีย์ก็ต้องหอบเงินเข้ามาขอซื้อบริษัทพิกซาร์จาก สตีฟ จ็อบส์ ด้วยมูลค่า 7,700 ล้านดอลลาร์
เท่ากับว่า สตีฟ จ็อบส์ สามารถทำกำไรได้ถึง 3,700 ล้านดอลลาร์จากเงินที่ลงทุนไปตอนเเรกเเค่ 10 ล้านดอลลาร์เท่านั้น
เเต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ในเงื่อนไขของสัญญาการซื้อขายบริษัทครั้งนี้ ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่า “ทางดิสนีย์ต้องให้ จอห์น ลาสซิเตอร์ ที่พวกเขาเคยไล่ออกตอนยังเป็นเด็กใหม่ ดูเเลฝ่ายเเอนิเมชั่นของดิสนีย์ทั้งหมด”
เเล้ว ลาสซิเตอร์ ก็กลายเป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายสร้างสรรค์ของดิสนีย์เเละพิกซาร์ในที่สุด
เเละตอนนี้ในสวนสนุกของดิสนีย์ ก็มีเครื่องเล่นที่มาจากชื่อภาพยนตร์ของเขา นั่นก็คือ “ไฟน์ดิ้ง นีโม” เเละ “อะบักส์ เเลนด์”
ไม่น่าเชื่อเลยว่า “วันหนึ่งจะมีเครื่องเล่นที่มาจากภาพยนตร์ของคนที่เคยเป็นเเค่พนักงานดูเเลเครื่องเล่นพวกนี้มาก่อน”
เเละถ้าวันนั้นพวกเขาเปิดใจรับฟังคำเเนะนำของเด็กที่ชื่อ จอห์น ลาสซิเตอร์ ดิสนีย์ก็คงไม่ต้องเสียค่าโง่ถึง 7,700 ล้านดอลลาร์ เพื่อซื้อมันกลับมา...
อยากรู้เรื่องอะไร อยากอ่านบทความเเบบไหน ส่งคำถามมาให้ "สมองไหล" ได้ง่ายๆ เพียง “กดลิ้ง” ข้างล่างนี้ได้เลย
โฆษณา