24 ธ.ค. 2019 เวลา 07:52 • กีฬา
หลอกกันทั้งโลก? : KONSPIRATION 58 ภาพยนตร์ที่บอกว่าบอลโลก 1958 ไม่มีจริง
ฟุตบอลโลกครั้งที่ 6 ในปี 1958 ถูกกล่าวขานว่าเป็นจุดเริ่มต้นของความยิ่งใหญ่ในโลกลูกหนังของทีมชาติบราซิล และยังรวมไปถึงอัจฉริยะผู้เกิดมาพร้อมกับทักษะที่ล้ำหน้าเกินใครในยุคอย่าง เปเล่ แน่นอนว่าในทัวร์นาเม้นต์ดังกล่าวเขาถูกยกย่องว่าเป็นนักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกเคยเห็น … แต่ถึงอย่างนั้นมันกลับมีเรื่องที่ลึกลับซับซ้อนมากมายเสียจนถูกลือไปว่าการแข่งขันฟุตบอลโลก 1958 นี้ไม่ได้เกิดขึ้นจริง? สรุปแล้วมันเป็นอย่างไรกันแน่?
นักประวัติศาสตร์ชาวสวีเดนอย่าง บรอร์ ฌาคส์ เดอ เเวร์น คือผู้เริ่มคิดค้นทฤษฎี Konspiration 58 ที่ว่าด้วยเรื่องการแหกตาครั้งใหญ่ในวงการฟุตบอลโลก และสมมติฐานของเขาที่พยายามจะคุ้ยเขี่ยคือเรื่องราวที่ว่าฟุตบอลโลกครั้งนี้แท้จริงเเล้ว ไม่ได้แข่งขันกันในสวีเดน
เรื่องทั้งหมดคือ เดอ เเวร์น นั่งดูฟุตเทจในเกมที่ เปเล่ ในวัย 17 ปี พาบราซิลไล่ถล่มเจ้าภาพอย่าง สวีเดน เละเทะถึง 5-2 ในเกมนัดชิงชนะเลิศ ทำให้เกิดความรู้สึกแคลงใจและยากที่จะยอมรับ ...
เหตุผลที่ยอมรับไม่ได้คืออะไร?
เเม้ เดอ เเวร์น จะเป็นชาวสวีดิชเต็มขั้น แต่เขาก็ไม่ได้แสดงออกว่านี่คือความพ่ายแพ้ที่รับไม่ได้จนต้องคิดทฤษฎีนี้ขึ้นมา เพราะเขามองไปลึกยิ่งกว่านั้นถึงขั้นที่ตั้งแง่สงสัยว่าฟุตบอลโลก 1958 คือการจัดฉากที่เกิดจากการ่วมมือกันของ FIFA กับ CIA
Photo : rfbl.pl
สิ่งที่เขานำเสนอ ได้รับความสนใจจาก โยฮันน์ ลอฟสเต็ดต์ หัวหอกแห่งค่ายหนัง Lofstedt’s Film จนเป็นที่มาในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ เรื่องที่จะตีแผ่ให้โลกได้รับรู้ว่า ฟุตบอลโลก 1958 ไม่ได้แข่งขันกันที่สวีเดน แต่เป็นการจัดฉากขึ้นในสหรัฐอเมริกา
และฟุตบอลโลกหนนี้เป็นส่วนหนึ่งของสงครามเย็นและเป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ในยุคนั้นอย่าง "โทรทัศน์"
"สหรัฐอเมริกาจำเป็นจะต้องทดสอบถึงพลังอำนาจและอิทธิพลของอุตสาหกรรมโทรทัศน์ในเวลานั้น" เดอ แวร์น กล่าว "มันเป็นส่วนหนึ่งของสงครามเย็นที่กำลังเร่งระดับเพิ่มขึ้นในเวลานั้น ผมขอเรียกมันว่า Media race (การแย่งชิงอำนาจด้านสื่อ) ก็แล้วกัน"
"อย่าเพิ่งตลกกันล่ะ จริงอยู่ที่มีทั้งรูปภาพและเอกสารที่กล่าวถึงฟุตบอลโลกครั้งนั้นเป็นพันๆ ฉบับ แต่ผมเจอคนคนหนึ่งที่ชี้ชัดว่าฟุตบอลโลก 1958 คือทัวร์นาเม้นต์แหกตาที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง"
“คุณเชื่อในสิ่งที่เห็นเหรอ?”
ข้อความด้านบนนี้ปรากฎขึ้นในหัวของ เดอ เวอร์น เขาเริ่มมองว่าตัวอาคารทื่เป็นแบ็คกราวด์ของรูปถ่ายนักเตะสวีเดนหลังจากเอาชนะเยอรมันตะวันตกในสนาม Ullevi สเตเดียม ในเมืองโกเตนเบิร์ก มันไม่มีจริงและบอกว่าตึกเจ้าปัญหาตึกนี้คืออาคารที่ตั้งอยู่อีกฟากหนึ่งของโลก และที่นั่นคือ ลอส แอนเจลิส ประเทศสหรัฐ อเมริกา
จากนั้นเขาเริ่มค้นคว้าข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวกับฟุตบอลโลกครั้งนั้นที่เขามี ทั้งรูปภาพ เอกสารข้อความ และหนังสือที่กล่าวถึง ซึ่งทั้งหมดทำให้ความสนใจของเขาทวีคูณเข้าไปอีก เพราะมันมีหลายสิ่งที่เข้าเริ่มรู้สึกเข้าเค้าว่า "มันเริ่มจะแปลกๆ เเล้ว"
Photo : galileowouldenjoy.tumblr.com
นอกจากตึกที่ไม่คุ้นตากับสิ่งปลูกสร้างในสวีเดนเเล้ว เดอ แวร์น ยังมองไปถึงแสงและเงาที่ตกกระทบของนักเตะแต่ละคนที่อยู่ในรูปถ่าย กล่าวคือพระอาทิตย์ในฤดูร้อนของประเทศสวีเดนไม่มีทางที่จะให้มุมและองศาได้ขนาดนั้น ซึ่งเขาคิดว่านี่มันคือแดดแบบอเมริกันชัดๆ ... อเมริกาเหนือที่เดียวที่มีเเสงเเดดเช่นนี้ นอกจากนี้ยังมีรูปที่นักเตะบราซิลสวมรองเท้าบู้ต ซึ่งเวอร์นก็ยืนยันว่ายุคนั้นสวีเดนไม่มีอะไรแบบนี้แน่นอน นอกเหนือจากนี้เขายังคิดไปถึงว่าเศรษฐกิจของสวีเดนในเวลาดีพอถึงขั้นจะเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกเลยหรือ?
ข้อสงสัยของ เดอ แวร์น ไม่ค่อยได้รับการยอมรับมากนักโดยเฉพาะเหล่าวีรบุรุษชุดรองแชมป์โลกปี 1958 นำโดย คอร์เร่ แฮมริน ดาวเตะผู้ทำประตูสุดสวยในเกมกับเยอรมันตะวันตกรอบตัดเชือกด้วยการลากคนเดียวจากมุมธงฝั่งขวาผ่านผู้เล่นอินทรีเหล็กคนแล้วคนเล่า จนกระทั่งท้ายที่สุดเขาเลาะมาถึงเส้นหลังเลี้ยงผ่านกองหลังเยอรมันอีกสองคนและยิงผ่านผู้รักษาประตูเข้าไปในมุมเเคบ นี่คือหนึ่งในประตูโซโล่โกลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งนอกจากจะสวยงามเเล้วมันยังส่งให้ทัพไวกิ้งไปถึงรอบชิงชนะเลิศเพื่อไปดวลกับ บราซิล อีกด้วย
แฮมริน ผู้ถูกพูดถึงจากประตูนั้นมาตลอดชีวิต ยอมรับว่าประตูนั้นคือลูกยิงที่เขาภาคภูมิใจที่สุดดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่เขาจะไม่พอใจ เดอ แวร์น ที่ดันกล้ามาสงสัยในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องและอาจจะทำให้เขาเสื่อมเสียเกียรติยศได้
Photo : www.nsd.se
"พวกนั้นบอกเหรอว่าฟุตบอลโลก 1958 ไม่ได้แข่งขันกันจริง? นี่ผมจะบอกให้นะ ทั้งหมดที่ผมพูดได้คือ ‘ผมไม่เข้าใจ!’"
“อะไรที่พวกนี้ตั้งสมมุติฐานดูจะเพี้ยนหนัก ผมอยู่ที่นั่นในวันนั้น นั่นคือสาเหตุที่ว่าทำไมผมจึงไม่เข้าใจว่าทำพวกเขาถึงกล้าพูดอะไรแบบนี้ออกมา เพราะนี่คือความทรงจำเรื่องฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่และมีเกียรติยศที่สุดในชีวิตของผม มันคือฟุตบอลโลก 1958 ของจริงไม่อิงนิยาย” ดูเหมือนแฮมรินจะมีอารมณ์ขันและโมโหในคราวเดียวกันสำหรับการสงสัยว่าลูกยิงของเขาถูกจัดฉากขึ้น
แต่ในฐานะผู้นำเสนอเรื่องราวดังกล่าวให้ค่ายหนัง Lofstedt’s Film เดอ แวร์น ไม่ยอมแพ้และยังคงดำเนินการพิสูจน์ต่อไปเพื่อทำให้ชัดเจนว่าข้อสงสัยของเขาเป็นสิ่งที่ไม่ได้ไร้สาระ และเมื่อภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกกำหนดวันฉายและได้เปรยเนื้อเรื่องย่อออกไปก็ยิ่งกลายเป็นที่พูดถึงมากมายสำหรับความเชื่อดังกล่าวของเขา
อักเน ซิโมนส์สัน กองหน้าผู้ยิง 2 ประตูให้สวีเดนในเกมนัดชิงชนะเลิศกับ บราซิลเผยว่า “อีกไม่นานจะไม่เหลือใครที่บอกโลกใบนี้ว่าฟุตบอลโลก 1958 เกิดขึ้นที่ประเทศสวีเดน”
เขาเชื่อว่ายิ่งหากปล่อยเอาไว้ให้เรื่องนี้ไม่เคลียร์ เหล่าผู้อยู่ในเหตุการณ์นี้ก็จะค่อยๆ ล้มหายตายจาก จนในที่สุดเเล้วทัวร์นาเม้นต์ฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสวีเดนจะต้องถูกตั้งแง่ว่าลวงโลกตลอดไป การตายของนายทวารกัปตันทีมชาติบราซิลอย่าง เฮเนดัลโด้ เบลลินี่ เมื่อหลายเดือนก่อนช่วยเตือนสติถึงความจริงที่น่าเศร้านี้ได้เป็นอย่างดี
ความกังวลในประเด็นดังกล่าวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ กลุ่มผู้สนับสนุนเเนวคิดของ เดอ แวร์น ยังคงเชื่อมั่นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง และเเล้วภาพยนตร์ Konspiration 58 ก็กลายเป็นเหมือนไฟไหม้ฟาง เหมือนสงครามศาสนาที่ต่างฝ่ายต่างเชื่อมั่นในความคิดของตัวเองเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
เรื่องนี้ทำให้ เลนนาร์ท โยฮันส์สัน อดีตประธานสหพันธ์ฟุตบอลยุโรปหรือยูฟ่าต้องงานเข้าแบบไม่รู้ตัว เพราะเหล่าผู้ไม่พอใจมองว่าเป็นการกระทำที่รับไม่ได้ที่ โยฮันส์สัน ถือหางเหล่าตำนานทีมชาติชุด 1958 มากกว่าที่จะพูดความจริง (ที่เหล่าผู้ประท้วงเชื่อ) จึงทำให้ โยฮันส์สัน ถูกขู่ต่างๆ นานา
ในภาพยนตร์ดังกล่าวผู้กำกับของเรื่องอย่าง โยฮัน ลอฟสเต็ดต์ ได้แนะนำให้รู้จักกับ โอลอฟ อาร์เนลล์ ผู้นำของกลุ่ม Konspiration 58 กรุ๊ป ซึ่งเชื่อสนิทใจว่าอย่างไรเสียเรื่องฟุตบอลโลกหนนี้เป็นเรื่องที่หลอกลวงคนที่ตามโลกไม่ทันจนคล้อยตามไปแบบไม่รู้ตัว
"ไม่มีพยานเลย ไม่มีหลักฐานที่พิสูจน์ได้เลยว่าฟุตบอลโลกหนนั้นมันเเข่งกันจริงๆ" อาร์เนลล์ กล่าวในส่วนหนึ่งของภาพยนตร์ น้ำเสียงและคำพูดของเขาเหมือนกับการทิ้งระเบิดให้เหล่าคนที่เชื่อเรื่องเดียวกับเขาลุกฮือ ถึงตอนนั้นแล้ว อาร์เนลล์ ก็ถูกมองว่าเป็นคนที่ยุยงให้เกิดการข่มขู่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในวงการฟุตบอล โดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวเรือใหญ่อย่าง เลนนาร์ท โยฮันส์สัน
Photo : zapsportz.com
"ผมจะพูดซ้ำอีกสักครั้ง" เลนนาร์ท โยฮันส์สัน กล่าวถึงความวุ่นวายในเวลานั้นขณะที่ตาจ้องมองเลนส์กล้องที่กำลังบันทึกไว้
“นี่ไม่ใช่เรื่องตลก มันเป็นเรื่องร้ายเเรง มีจดหมายขู่วางระเบิด มีโทรศัพท์สายแปลกๆ โทรเข้ามา และผมอยากจะให้ตำรวจมาช่วยดูแลถึงที่บ้านของผม ผมกลัวว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกได้ไม่นานเสียเเล้ว”
"ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่นี้เราต้องหาเอกสารข้อมูลเพื่อเอามาถกกันให้รู้ดำรู้แดง ไม่อย่างนั้นมันจะถูกบิดเบือนและจะถูกเชื่อตลอดไปว่าฟุตบอลโลก 1958 ไม่ได้เกิดขึ้นจริง"
กระแสสังคมก่อพายุเเล้ว
เมื่อ Konspiration 58 ถูกฉายผ่านโทรทัศน์ที่สวีเดนครั้งแรกในปี 2002 มันก็กลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำให้เกิดความก้าวร้าวกระทบกระทั่งขึ้นในสังคม
"คนรุ่นก่อนๆ มีความทรงจำที่หอมหวานกับฟุตบอลโลก 1958 ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาจะบอกเคยดูเกมในสนามมาเเล้วหรือแม้กระทั่งการถ่ายทอดสดผ่านโทรทัศน์ดังนั้นพวกเขาจึงค่อนข้างหงุดหงิดกับเรื่องนี้" ลอฟสเต็ดต์ กล่าว ราวกับรู้อยู่แล้วว่าจะต้องได้รับกระแสตอบรับที่ไม่ดีและได้รับการด่าทอแบบสาดเสียเทเสีย
Photo : www.imdb.com
ลอฟสเต็ดต์ได้รับอีเมล์ฉบับหนึ่งจากชายหนุ่มวัย 20 ปีที่ได้รับการถ่ายทอดเรื่องราวของฟุตบอลโลกครั้งนั้นจากปู่ของเขา ซึ่งปู่ของเขาเจ็บแค้นกับข้อสงสัยของ Konspiration 58 ที่บอกว่าฟุตบอลโลก 1958 คือของปลอม เพราะนั่นคือภาพจำที่แสนจะสวยงามในวัยหนุ่มของคุณปู่เลยทีเดียว
"แกควรจะละอายใจซะ" ลอฟสเต็ดต์ อ่านข้อความจากอีเมล์ดังกล่าวสั้นๆ แม้ว่าข้อความฉบับเต็มจะยาวเฟื้อยด้วยคำด่าก็ตาม
อย่างไรก็ตามเมื่อช่วงเวลาแห่งการฉายสิ้นสุดลง เอนด์เครดิตก็เริ่มขึ้น ชื่อของทีมงาน แหล่งข่าว นักเตะ และผู้เกี่ยวข้องเกี่ยวข้องทั้งหมดของ Lofstedt’s Film ผิดพลาดไปหลายจุด ถึงตรงนี้คนที่ด่าเเบบสาดเสียเทเสียในความคิดสุดบ้องตื้นนี้ก็เริ่มจะมีคำ "เอ๊ะ" เข้ามาในหัวเเล้ว
เอนด์เครดิตเฉลยทั้งหมดในตอนจบว่านี่เป็นแค่เรื่องหลอกหลวง ไม่มีทฎษฎี Konspiration 58 และ ทฤษฎีของ เดอ แวร์น ใดๆ ทั้งสิ้น เรื่องทั้งหมดเป็นเพียงการสร้างขึ้นจากจินตนาการล้วนๆ ไม่มีแหล่งข้อมูลใดเลยที่จริงสักอย่าง
อ่านมาถึงตรงนี้คุณอาจจะสงสัยว่า เอ๊ะ … แล้วความดุเดือดไล่ด่าคนคิดเรื่องนี้ของ อักเซ่ ซิโมนส์สัน และ แฮมริน รวมถึงเรื่องที่ เลนนาร์ท โยฮันส์สัน ถูกขู่ฆ่าล่ะ จบง่ายๆ แบบนี้ได้เหรอ?
คำตอบก็คือ "ได้อยู่เเล้ว" ... นั่นก็เพราะว่าบุคคลทั้งหมดที่ตีเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นประเด็นรู้เห็นกันเป็นขบวนการกับผู้สร้างยังไงล่ะ
ใช่เลย ทั้ง ซิโมนส์สัน, แฮมริน และ โยฮันส์สัน รู้เห็นเป็นใจกับเรื่องนี้ทั้งหมด เรียกได้ว่าหนนี้เหล่าผู้บริโภคโดนแหกตากันแทบถลนกันทั่วประเทศเลยทีเดียว
"บางคนดูไปแป๊ปเดียวก็รู้เเล้วว่าเรื่องนี่มันเฟค แต่คนส่วนใหญ่กว่าจะรู้ความจริงก็ต้องรอถึงตอนเฉลยในท้ายเรื่อง อ้อ ยังมีอีกบางพวกนะที่ดูไปจบแล้วก็เออออห่อหมกไปเป็นวันๆ จนถึงวันที่พวกเขาไปทำงานเเล้วเพื่อนร่วมงานมาเฉลยให้ฟังก็มี" ลอฟสเต็ดต์ เริ่มเผยไต๋ถึงสิ่งที่เขาตั้งใจอยากจะเห็นจากการต้มตุ๋นทั่วโลกครั้งนี้มาทีละนิด
"กลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มที่น่ากลัวที่สุด คนพวกนี้ดูแล้วก็เชื่อทันที ไม่ได้ตระหนักไตร่ตรองความจริงอะไรสักอย่าง พวกเขาหลงเชื่อทฤษฎีนี้แบบสุดหัวใจ และผมว่านี่คือเรื่องที่น่ากลัวและน่ากังวล"
หลอกเเล้วได้อะไร?
แม้ ลอฟสเต็ดต์ จะยอมรับว่าเขาตั้งใจที่จะหลอกคนดูทั่วโลก แต่เขาเองก็มีเจตนาที่แน่วแน่แฝงอยู่เหมือนกัน
เรื่องมันเริ่มจากเย็นวันหนึ่งเขานั่งดูรายการโทรทัศน์กับเพื่อนของเขาที่กำลังฉายเรื่องการสังหารหมู่ชาวยิวโดยรายการการดังกล่าวเสนอมุมมองที่ว่าเรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นบนโลก และหาข้อมาแก้ต่างว่าเรื่องราวหายนะเช่นนี้เป็นเพียงการหลอกลวงและจัดฉากเท่านั้น ซึ่งตัวของ ลอฟสเต็ดต์ ตกใจเป็น 2 เท่าเมื่อเพื่อนของเขาดันเกิดเชื่อเรื่องที่รายการนี้นำเสนออีกด้วย
Photo : www.svenskfilmdatabas.se
"เพื่อนของผมนั่งคุยกับผมเรื่องนี้และบอกผมว่าเขาเชื่อที่รายการนั้นนำเสนอ ผมยอมรับว่าผมหงุดหงิดและรู้สึกทึ่งในเวลาเดียวกัน จากนั้นก็เลยหลอกเขาไปอีกหลายเรื่องทั้งเรื่องโอลิมปิกปี 1912 ที่สต๊อคโฮล์ม แต่พอหลอกไปสักพักผมก็เกิดไอเดียที่จะสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมาเพื่อล้อเลียนกับสิ่งที่เกิดขึ้น" ลอฟสเต็ดต์ กล่าว
Konspiration 58 อาจจะเป็นเรื่องราวการหลอกลวงครั้งที่ใหญ่ที่สุดของวงการฟุตบอล แต่ในอีกแง่หนึ่งมันเป็นเหมือนภาพยนตร์ที่ทำให้คนเริ่มใช้สมองมากขึ้น กระตุ้นความฉลาดและการใช้ความคิด เสพสื่อด้วยความมีสติและคิดตามไปว่าเรื่องราวที่ได้รับชมไปน่าเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน
"Konspiration 58 เป็นทั้งสารคดีที่เกี่ยวกับฟุตบอลโลกปี 58 และในอีกโลกคู่ขนานมันคือสารคดีที่สอนให้คนดูรู้จักคิดตามและปฎิเสธสิ่งที่รับมาบ้าง" ลอฟสเต็ดต์กล่าว
สิ่งที่ ลอฟสเต็ดต์ เสียดายคือเขาน่าจะคิดเรื่องการทำ Konspiration 58 ได้เร็วกว่านี้ ไม่อย่างนั้นเขาจะได้แหล่งข้อมูลที่ช่วยหลอกคนดูให้ตายแบบสนิทใจมากขึ้น อดีตผู้เล่นทีมชาติสวีเดนนอกจาก แฮมริน และ ซิโมนส์เซ่น อย่าง ลาสเซ่ แซนด์ลิน และ ลาร์ส กุนนาร์ เบิร์กลุนด์ คงจะได้เข้ามามีส่วนสร้างคำชวนเชื่อในภาพยนตร์เรื่องนี้
นอกจากนี้ ลอฟสเต็ดต์ ยังเล่าถึงเหตุการณ์ที่เขาไปโน้มน้าวคนใหญ่คนโตอย่าง เลนนาร์ท โยฮันส์สัน ให้เล่นด้วยกับเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย กว่าที่ประธานยูฟ่าจะเข้าใจจุดประสงค์ของเขาและเห็นพ้องต้องกัน
"ผมใช้เวลานานมากกว่าจะทำให้โยฮันส์สันเซย์เยสได้ ผมต้องติดต่อเลขาฯ ของเขาเป็นเวลา 3-4 เดือนกว่าที่จะได้คุยและได้ถ่ายทอดข้อมูล, ความคิด และจุดประสงค์ของเรื่องนี้ ซึ่งเมื่อเขาเข้าใจตรงกับผมแล้วเขาก็แฮปปี้มากที่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างความตื่นตัวครั้งนี้"
"ผมเองไม่แน่ใจหรอกนะว่า เลนนาร์ท เป็นนักแสดงที่ดีหรือไม่ แต่ระหว่างการถ่ายทำเขาเยี่ยมมาก เอาแสดงออกมาอย่างจริงจังจนชนิดที่ว่าภรรยาของเขาที่มานั่งดูการถ่ายทำด้วยยังบอกว่าถ้าเขาไม่ได้เป็นประธานยูฟ่าเขาคงเป็นดาราไปแล้ว"
อานุภาพแห่งสื่อ
ปัจจุบันเรื่องราวความวุ่นวายผ่านภาพยนตร์ที่ ลอฟสเต็ดต์ สร้างไว้ก็ได้บทสรุปไปเรียบร้อยแล้วพร้อมกับตอนจบของ Konspiration 58 แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นกลับเป็นผลกระทบแง่ดี เหตุการณ์ต้มคนทั้งประเทศ (และอาจจะทั้งโลก) ได้กลายเป็นกรณีศึกษาที่หลายโรงเรียนในสวีเดนนำไปใช้ให้ความรู้กับเด็กๆในเรื่องของการให้ความสำคัญกับการค้นคว้าหาข้อมูลต่างๆ
Photo : fifa.com
แต่ในทางกลับกัน ถึงตอนนี้เป็นเวลาผ่านมาเเล้ว 16 ปีนับตั้งแต่ออกอากาศครั้งแรก ปฎิกิริยาที่มีต่อ Konspiration 58 ยังมีคนเข้าใจผิดๆ อยู่อีกไม่น้อย ทฤษฎีของเดอ เวอร์น ยังคงถูกส่งต่อไปแบบมั่วๆในหน้าเพจหรือเว็บบอร์ดบนโลกอินเตอร์เน็ตอยู่เลย
"มีอีกหลายคนเลยแฮะที่ยังไม่เข้าใจว่าหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตั้งใจมาหลอกกันแบบซึ่งๆ หน้า บางครั้งก็ยังมีคนเอาหนังเรื่องนี้ไปเถียงกันเป็นตุเป็นตะ ผมเองก็สับสนนะว่าการจะหลอกคนดูได้ยาวนานเป็นปีๆ มันง่ายเหมือนปลอกกล้วยขนาดนี้เลยเหรอ" ลอฟสเต็ดต์ กล่าวต่อ
"ผมแค่อยากให้ผู้คนเข้าใจว่าคุณไม่ควรเชื่อทุกสิ่งที่คุณเห็นในทีวี เชื่อทุกสิ่งที่คุณได้อ่านบนหนังสือหรืออินเตอร์เน็ต ทุกคนควรจะเป็นผู้รับสื่อที่มีคุณภาพ ต้องตีความให้แตกแยกให้ออกว่าอันไหนคือสารคดีของจริง และอันไหนที่ถูกสร้างขึ้นด้วยเจตนาเพื่อโกหกและให้ความบันเทิงเท่านั้น"
"อย่างไรก็ตาม ยังมีคนอีกเยอะที่ยังคิดว่ามีบางสิ่งแปลกๆ เกิดขึ้นในฟุตบอลโลก 1958 ผมก็เคยได้คุยกับบางคนเหมือนกันทื่ไม่เคยดูหรือไม่เคยอ่านเกี่ยวกับหนังของผมหรอกแต่พวกเขาก็ได้ยินว่ามีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลในฟุตบอลโลก"
หากสงสัยว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ของ ลอฟสเต็ดต์ จะเป็นอย่างไรหากเขาได้เอามาเผยเเพร่ครั้งแรกในยุคปัจจุบัน คนจะเชื่อมากขึ้นไหมว่าหนังของเขาเป็นเรื่องจริง หรือว่าเขาจะโดนด่าว่าไอ้โง่บัดซบที่คิดอะไรปัญญาอ่อนแบบนี้ ... เขายิ้มก่อนตอบ
"ไม่หรอก" ลอฟสเต็ดต์ ไม่ลังเลใจกับคำตอบของเขา "ผมคิด...และหวังว่า คนยุคนี้คงมีความแตกฉานมากกว่าสิ่งที่เห็นและสิ่งที่ได้ฟังมากกว่ายุคสมัยสัก 10-15 ปีที่เเล้ว"
บางครั้งเรื่องเล็กๆอย่างการหงุดหงิดกับเพื่อนที่เชื่อทีวีมากไป ก็นำมาซึ่งเเรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ที่เป็นบทเรียนให้คนทั้งโลกได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทุกไอเดียล้วนมีประโยชน์ต่อใครสักคน อยู่ที่ว่าคุณกล้าจะทำให้มันเป็นจริงเหมือนกับ ลอฟสเต็ดต์ หรือเปล่า?
บทความโดย เจษฎา บุญประสม
โฆษณา