13 ม.ค. 2020 เวลา 11:30 • ธุรกิจ
เมื่อการตลาดยุคใหม่ สนับสนุนให้คนโสด
ในสมัยก่อน หากพูดถึงการออกไปข้างนอกนั่งในร้านคาเฟ่หรือร้านสุกี้สักแห่ง จุดประสงค์ส่วนใหญ่ก็เพื่อไปกินข้าวกับครอบครัว หรือพบปะสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อน
แต่ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาไปมากขึ้น ทำให้ความจำเป็นที่จะต้องมาพบเจอหน้ากันจริงๆน้อยลง เมื่อเป็นแบบนี้ ผู้ประกอบการหลายเจ้าจึงเริ่มมีการปรับตัว และออกโปรโมชั่นสำหรับลูกค้าที่มาคนเดียวมากขึ้น
เรื่องนี้จะเป็นอย่างไร และเกี่ยวกับเรื่องความโสดอย่างไร วันนี้ Mint Talk จะมาเล่าให้ฟังครับ
ถ้าเราลองดูข้อมูลยอดการจดทะเบียนสมรสในประเทศไทยย้อนหลัง 10 ปี เราจะเห็นว่ามีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง
ข้อมูลนี้แสดงให้เราเห็นว่าประชากรไทยมีแนวโน้มที่จะอยู่เป็นโสดมากขึ้นเรื่อยๆ และคนโสดส่วนใหญ่ก็ต้องมีช่วงเวลาที่ออกไปกินข้าว กินของหวาน นั่งชิลคนเดียวบ้างเป็นธรรมดา
ยอดจดทะเบียนสมรสในประเทศไทยปี พ.ศ. 2550-2560
แล้วอะไรทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป
คำตอบอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากมือของเรานั่นก็คือการเข้ามาของอินเทอร์เน็ต และเทคโนโลยีนั่นเอง
ในช่วงไม่ถึง20ปีที่ผ่านมานี้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปมาก เมื่อก่อนการอยู่เป็นโสดสร้างความเหงาให้เราได้มากมาย เพราะหากเราคิดถึงกันสิ่งที่ทำได้มีเพียงการโทรคุยกันซึ่งต้องเสียค่าโทรศัพท์ทุกนาที หรือการออกมาพบปะกันนอกบ้านตามร้านอาหารและแหล่งชุมชนต่างๆเท่านั้น
แต่ทุกวันนี้ ถ้าเราเหงาหรือคิดถึงเพื่อน เราก็แค่หยิบมือถือขึ้นมากด video call หาเพื่อนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย จะคุยนานแค่ไหนก็ได้ หรือ post Facebook ให้มีคนมากด like เพื่อให้เรารู้สึกเหมือนยังมีคนอยู่รอบๆตัวเรา เราจึงเหงาน้อยลง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้หลายคนในสังคมปัจจุบันเริ่มรู้สึกว่าการมีคู่ครองนั้นอาจไม่จำเป็น
ที่นี้เราลองมาดูในมุมของผู้ประกอบการกัน
ยกตัวอย่างร้าน Bakery อย่าง Bake A Wish มีราคาเค้ก 1 ชิ้นประมาณ 90 – 120 บาท และเป็นเค้กชิ้นใหญ่ แน่นอนว่าในยุคที่คนเริ่มห่วงรูปลักษณ์ และดูแลสุขภาพแบบนี้ คงจะสะเทือนความรู้สึกไม่น้อยถ้าต้องซื้อเค้กสักชิ้นมานั่งกินคนเดียว จะซื้อกลับบ้านไปแบ่งกินก็ขี้เกียจ ทางแบรนด์ก็เลยเปลี่ยนรูปแบบการขายซะเลย
จากที่ขายเค้กชิ้นใหญ่ก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นขายชิ้นเล็กๆเพื่อเอาใจผู้บริโภคที่มาเลือกซื้อคนเดียวมากขึ้น และเน้นการขายที่จำนวนแทน
หรือแม้แต่ร้านสุกี้ครอบครัวที่ต้องนึกถึงทุกครั้งที่มีคำถามว่า “กินอะไรดี” นั่นก็คือ MK ก็ยังต้องเริ่มออกแบบร้านให้มีมุมสำหรับลูกค้าที่มาคนเดียว และมีเมนูที่จัดสำหรับกินคนเดียวโดยเฉพาะ เพื่อเอาใจลูกค้าในกลุ่มนี้
และล่าสุดร้านไอศกรีมยอดฮิตอย่าง Swensen’s ก็ยังออกสินค้าที่ลดขนาดเพื่อให้เหมาะกับผู้บริโภคที่นิยมซื้อของไซส์เล็กลงนั่นก็คือเค้กไอศกรีมที่ลดขนาดลง
โดยปกติแล้วการจะซื้อเค้กกลับบ้านส่วนใหญ่ก็ต้องมีงานเลี้ยง หรือวันคล้ายวันเกิดของสมาชิกในบ้านหรือในองค์กร เค้กจึงมีขนาดที่ใหญ่เพื่อจะสามารถแบ่งกินกันได้หลายคน แต่การที่ Swensen's ออกสินค้าเป็นเค้กไอศกรีมที่ลดขนาดจาก 3.5-4 ปอนด์ลงมาเหลือเพียง 1.5 ปอนด์ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าในยุคนี้นั้นก็เป็นอีกสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าในสังคมของเรานั้นมีพฤติกรรมการบริโภค และขนาดของครอบครัวที่เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
เรื่องนี้ดูผิวเผิน ผู้บริโภคอย่างเราก็ได้ประโยชน์สูงสุด เพราะเรามีตัวเลือกมากขึ้น และจ่ายในราคาต่อหน่วยที่ลดลง แต่อีกมุมหนึ่งโปรโมชั่นเหล่านี้เป็นเหมือนเชื้อเพลิงชั้นดีที่สนับสนุนให้คนโสดอยากครองสถานะโสดอยู่ต่อไป
ถ้าเราลองพิจารณาเรื่องที่นายมิ้นท์ยกมาดีๆ ในวันที่คนโสดนั่งอยู่ในร้านสุกี้ และนั่งดูเมนูมากมายที่อันนู้นก็อยากกิน อันนี้ก็อยากลอง แต่ถ้าสั่งมาทั้งหมดคงกินไม่ไหวแน่ๆ ก็คงจะเกิดความรู้สึกว่าอยากมีคนมานั่งกินข้าวด้วยสักคนก็คงดีจะได้ช่วยกันกิน
หรืออย่างการเลือกซื้อเค้กหรือเบเกอรี่ ที่เมื่อก่อนถ้าอยากกินหลายรสชาติก็ต้องหาเพื่อนหรือแฟนมาช่วยกินแล้วสั่งหลายๆชิ้น
แต่วันนี้ไปคนเดียวก็สบายเพราะแต่ละชิ้นนั้นเล็กนิดเดียว กิน 2 คำก็หมดแล้ว ร้านสุกี้ก็มีมุมสำหรับคนมาคนเดียว มีเมนูที่จัดมาเป็นพิเศษสำหรับลูกค้าที่มาคนเดียว ผู้ประกอบการทั้งหลายได้เล็งเห็นตรงจุดนี้และจัดสรรมาให้เราเรียบร้อย
พอเรื่องเป็นแบบนี้ คนโสดก็ยิ่งไม่รู้สึกว่าอยากจะมีคนมานั่งกินด้วย กินคนเดียวก็ได้ทั้งอิ่มและหลากหลาย แล้วอย่างนี้คนโสดจะอยากมีคู่ครองไปทำไม เพราะอยู่คนเดียวแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว
ก็น่าคิดเหมือนกันนะครับ ถ้าทั้งสังคมในโลกเสมือน และสังคมในโลกจริงล้วนสนับสนุนให้เราก้มหน้าก้มตา ทำอะไรต่างๆอยู่ในโลกของเราเพียงคนเดียวโดยที่ไม่ต้องให้ใครเข้ามาข้องเกี่ยว แล้วในอนาคตสังคมของเราจะเป็นอย่างไรต่อไป...
ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่รับชมและอ่านเรื่องราวของ Mint talk นะครับ
สามารถติดตามอ่านเรื่องราวที่นายมิ้นท์หยิบมาเล่ากันได้ที่นี่เลยครับ
และหากท่านไหนมีเรื่องราวที่สนใจอยากให้นายมิ้นท์เก็บมา Talk ให้ได้อ่านแล้วล่ะก็ comment บอกกันมาได้เลยนะครับ ^_^
รูปภาพจาก
เว็บไซต์และ Page Facebook ของแต่ละ Brand
โฆษณา