14 ม.ค. 2020 เวลา 11:30 • ความคิดเห็น
ฝุ่นพิษไม่แค่ใช่ปัญหามลพิษ แต่มันคือปัญหาเชิงระบบ อย่าแก้แบบปัญญาอ่อน ขอร้อง
...รัฐมนตรีถามเราว่าถ้าจะใช้ยาแรง แบบห้ามรถวิ่งจะรับได้ไหม?
...ผมอยากถามท่านกลับว่า แล้วขนส่งมวลชนที่มีมันพอไหมอ่ะ เอาแค่จำนวนก็พอ ไม่ต้องเอาคุณภาพมาพูดถึงก็ได้
...ลิงก็ตอบได้ว่ามันไม่พอ แล้วท่านจะมาถามประชาชนเพื่อ?
...มันเป็นปัญหาเชิงระบบ การแก้มันต้องรื้อใหญ่กว่าที่คิด เท่าที่ผมนึกออกแยกได้มันก็หลายอย่างนะ
1) การไม่กระจายความเจริญออกไปจากกรุงเทพ
...เมื่อทุกอย่างต้องอยู่ในกรุงเทพมันก็ไม่แปลกอะไรที่มลพิษมันจะมาก อากาศเสียจากรถ น้ำเสียจากการอุปโภคที่มาก ปัญหาขยะ มันจัดการไม่ได้เพราะปริมาณของเสียมันมากกว่าพื้นที่
...ที่ผ่านมาการลงทุนภาครัฐอะไรก็กระจุกอยู่ในนี้แหละ การกระจายแทนที่จะเป็นลักษณะหัวเมืองตามภูมิภาค แต่ดันทำในลักษณะขยายไปแถบปริมณฑล มันไม่ได้ช่วยให้ความแออัดลดลงเลย มีแต่จะมากขึ้นซะด้วยซ้ำ แถมภาษีให้ลงทุนตามหัวเมืองก็ไม่จูงใจ แล้วเอกชนที่ไหนจะออกไปจากกรุงเทพล่ะ
2) การคอรัปชั่น
...โตเกียวมีคนมากกว่ากรุงเทพ แต่การจัดการที่เขาทำได้เพราะเขาโปร่งใส จริงจังกับกฎหมายผังเมือง
...ต่างกับในไทย ใครจะสร้างอะไรตรงไหนก็สร้าง สร้างอาคารต่างๆแบบไม่คิดถึงจำนวนที่จอดรถก็ทำได้ถ้าเงินถึง มันเป็นที่มาของการจราจรที่ติดขัดและปริมาณรถมหาศาล เพราะใครๆก็ซื้อได้โดยไม่ต้องแคร์ว่าจะไม่มีที่จอดหรือไม่
...กฎหมายผังเมืองที่มีน่ะชัด แต่คนปฏิบัติน่ะทำแค่ไหน และเพราะอะไรถึงทำบางอย่างที่ผิดได้จนเป็นเรื่องธรรมดา
...คำตอบมันก็น่าจะการคอรัปชั่นนั่นแหละ
...แต่กรุงเทพอาจจะสายเกินไปแล้วล่ะที่จะแก้ไขเรื่องนี้....
3) ปัญหาสินค้าเกษตร
...ดูเหมือนไม่เกี่ยวแต่ดันเกี่ยวเพราะส่วนนึงมาจากการเผาจากภาคเกษตร
...อ้อยที่พูดกันมากๆ ถ้าไปดูเหตุผลที่เขาเผาก็เพราะต้นทุนมันถูกกว่าตัด และมีเรื่องค่าน้ำตาลเข้ามาเกี่ยว
...ถ้าคนปลูกไม่มีรายได้พอจะตัด เค้าก็ต้องเผาเพื่อเอาตัวรอดไม่ให้เข้าเนื้อ จะห้ามเขามันก็ต้องมีมาตรการช่วยเหลือ ไม่ใช่ห้ามอย่างเดียว ใครมันจะฟัง ไล่จับไปก็ไม่มีวันหมด
...ถ้าแก้ปัญหาราคาได้คนก็เลิกเผาเชื่อเหอะ
...ยังมีสาเหตุย่อยๆอีกมากพอสมควร แต่ผมว่าถ้าแก้ปัญหาสองสามเรื่องนี่ได้มันก็จะเบาลงมาก
...ปัจจุบันเทคโนโลยีการสื่อสารนั้นดีขึ้นมาก จะนำมาช่วยให้คนเดินทางน้อยลงมันก็ไม่ยากนัก แต่ถามว่าจริงจังไหมกับการส่งเสริมส่วนนี้ ก็คงต้องบอกว่าไม่ การติดต่อราชการส่วนมากก็คือต้องไปด้วยตัวเองอยู่ดีนั่นเอง ทั้งที่รัฐนั่นแหละน่าจะเป็นผู้นำร่อง แต่ก็ไม่ทำ แล้วปริมาณการใช้รถมันจะลดลงได้ยังไง
...ปีนึงแล้งทีก็มีปัญหาที แล้วก็แก้กันแบบเฉพาะหน้า มันจะมีประโยชน์อะไร เปลืองงบเป็นปีๆไป
...ควรใช้สมอง(ถ้ามี) ให้มากกว่านี้สำหรับผู้บริหารน่ะนะ😑😑😑😑
โฆษณา